· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน สัญญาณเศรษฐกิจเชิงบวก และการเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯทำระดับสูงสุดในรอบ 18 เดือน ขณะที่ประเด็นความไม่แน่นอน Brexit ยังส่งผลกระทบต่อค่าเงินปอนด์
โดยดัชนี MSCI ที่ไม่รวมหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวเพิ่มขึ้น 1% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. ปีที่ผ่านมา
ด้านราคาน้ำมันดิบทรงตัวใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนท่ามกลางปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ไม่มีข่าวใหม่ๆเข้ามาจึงส่งผลให้ค่าเงินหลักในตลาส่วนใหญ่เคลื่อยไหวเบาบาง
· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบมากกว่า 1 ปี หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯดีดตัวสูงขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางมุมมองเชิงบวกจากข่าวการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
โดยดัชนี Nikkei เพิ่มขึ้น 0.47% ที่ระดับ 24,066.12 จุด ด้านหุ้นกลุ่มสุขภาพและอุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ขณะที่ดัชนี Topix เพิ่มขึ้น 0.59% ที่ะรดับ 1,747.20 จุด ทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค.ปีที่ผ่านมา
· ตลาดหุ้นจีนปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกัน 3 วันทำการ โดยดัชนีกลุ่ม blue-chip เพิ่มขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน ได้รับแรงหนุนจากการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่มีทิศทางที่ดีขึ้น จึงช่วย
ลดความเสี่ยงในตลาดการเงิน
ดัชนี Shanghai Composite ปรับตัวสูงขึ้น 1.3% ที่ระดับ 3,022.42 จุด ท่ามกลางความเชื่อมั่นของเหล่านักลงทุนที่ได้รับแรงหนุนจากข้อมูลทางเศรษฐกิจจีน
· ตลาดหุ้นยุโรปเปิดปรับตัวลดลง เนื่องจากเหล่านักลงทุนระมัดระวังการลงทุน หลังจากสหรัฐฯและจีนสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันในเฟสแรกได้
โดยดัชนี Stoxx600 ลดลง 0.4% ด้านสินค้าที่ใช้ในบ้าน ลดลง ขณะที่ตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนลบ
อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวในงาน SEC Capital Market Symposium 2019 หัวข้อ "ตลาดทุนไทยจะรับมืออย่างไร ในวันที่โลกเปลี่ยนแปลง"ว่า ตลาดทุนไทยในปัจจุบันถือว่าเดินมาได้ไกล และผ่านวิกฤตอุปสรรคต่างๆ ซึ่งปัจจุบันตลาดทุนไทยมีการเติบโตขึ้นมาเป็นตลาดหุ้นชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน และมีสภาพคล่องสูงกว่าตลาดหุ้นสิงคโปร์ แต่ตลาดทุนไทยยังคงต้องมีการยกระดับและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ภายใต้ความท้าทายที่ตลาดทุนไทยเผชิญอยู่
ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยติดอยู่ในหลุมดำทำให้นักลงทุนที่เข้ามารู้ไม่เท่าทันผู้ที่ได้ประโยชน์ ทำให้มีนักลงทุนรายย่อยเป็นจำนวนมากเสียประโยชน์และไม่กล้าเข้ามาลงทุนอีก เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังมีคำว่า "เจ้า" และ "ปั่นหุ้น" หลงเหลืออยู่ แม้ว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะมีการตรวจสอบแล้ว แต่ยังไม่สามารถที่จะขจัดให้หมดไปได้ สิ่งนี้อาจเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการที่ตลาดหุ้นไทยให้บริการมา 30 ปี มีจำนวนบัญชี 1.7 ล้านบัญชี แต่มีผู้ที่ซื้อขายจริงในตลาดเพียง 300,000 บัญชีเท่านั้น
- บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) แจ้งว่าวันนี้ (17 ธ.ค.) บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 100% ได้ขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล (DIF) จำนวน 105,821,017 หน่วย ให้แก่นักลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยที่มาของการกำหนดราคาจำหน่ายหน่วยลงทุนนั้นได้พิจารณาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ของนักลงทุน (book building)
อ้างอิงจากประชาชาติธุรกิจ
- บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้าวันที่ 17 ธ.ค.62 ว่า เรามีมุมมองเป็นกลางและคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) จะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,545 – 1,560 จุด แม้ว่าภาวะตลาดจะได้แรงหนุนจากข่าวสหรัฐกับจีนบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรก ซึ่งคาดว่าจะลงนามข้อตกลงในช่วงต้นเดือน ม.ค.63 รวมถึงปัจจัยราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นยืนเหนือ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตอบรับตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน พ.ย.ของจีนที่เพิ่มขึ้น 6.2% ขณะที่ตัวเลข PMI ภาคการผลิตและบริการเดือน ธ.ค.ของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ 52.2 จุด จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มพลังงานและดัชนี
อย่างไรก็ตาม กระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ที่ยังคงไหลออกต่อเนื่อง (ขายสุทธิ 2 หมื่นล้านบาทตั้งแต่ต้นเดือนถึงปัจจุบัน) จากความกังวลสถานการณ์การเมืองภายในประเทศที่มีโอกาสชุมนุมในอนาคตเพิ่มเติม จะกดดันต่อทิศทางการลงทุนให้อ่อนตัวลง