· ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนและกระแสเกี่ยวกับ Brexit ที่เพิ่มมากขึ้น จึงฉุดให้เงินปอนด์ร่วงลง หลังจากที่นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ดูจะสร้างความเป็นไปได้ในกรณี No-Deal โดยอังกฤษมีกำหนดเส้นตายภายในธ.ค. 2020 เพื่อบรรลุข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ร่วมกับอียู จึงเปรียบเสมือนการกดดันให้อียูเร่งหาข้อตกลงร่วมกันให้ได้ พร้อมกันนี้ นายจอห์น จะทำการผลักดันร่างกฎหมายไม่ให้ขยายเวลาออกจากอียูเกินสิ้นปี 2020
ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลง 1.5% ที่ 1.312 ดอลลาร์/ปอนด์ โดยอ่อนค่าลงประมาณ 2.89% เมื่อเทียบกับระดับสูงสุดที่ทำไว้ในคืนวันศุกร์ ที่เป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ พ.ค. 2018 ขานรับบอริสได้รับชัยชนะ
ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.2% ที่ระดับ 97.214 จุด อันได้รับอานิสงส์จากปอนด์ที่อ่อนค่า ควบคู่กับดอลลาร์ออสเตรเลียที่ตอบรับกับการที่ธนาคารกลางออสเตรเลียเปิดกว้างต่อการปรับลดดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้นเร็วที่สุดในเดือนก.พ. ปีหน้า
· นักการทูตของอียูรายหนึ่ง กล่าวว่า อียูต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่อังกฤษอาจออกจากอียูแบบ No-Deal หลังนายกอังกฤษจะทำการออกกฎหมายป้องกันไม่ให้มีการขยายเวลาช่วงเปลี่ยนผ่านของอังกฤษหลัง Brexit เกินสิ้นปีหน้า ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญแสดงความกังวลว่า เป็นเรื่องยากที่อังกฤษและอียูจะได้ข้อสรุปในการทำข้อตกลงการค้าในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี
ทั้งนี้ นายจอห์นสันจะเพิ่มบทบัญญัติหนึ่งเข้าไปในร่างกฎหมาย Brexit ซึ่งจะระบุห้ามการขยายช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของอังกฤษเกินกว่าเดือนธ.ค. 2020 หลังจากที่อังกฤษแยกตัวจากอียูอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 ม.ค.2020
รายงานดังกล่าวสร้างความวิตกว่าระยะเวลา 11 เดือนที่เหลืออยู่จะไม่เพียงพอสำหรับการเจรจาการค้าระหว่างอังกฤษและอียูซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะ No-Deal
สื่อระบุว่า การดำเนินการดังกล่าวของรัฐบาลอังกฤษมีวัตถุประสงค์เพื่อกดดันอียูในการเจรจาการค้า และเพื่อเร่งกระบวนการทำข้อตกลงการค้า
ทั้งนี้ ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน อังกฤษจะยังคงอยู่ภายใต้กฎหมายของอียูเช่นเดียวกับประเทศสมาชิกอื่นๆ แต่อังกฤษจะไม่มีสิทธิส่งตัวแทนเข้าไปนั่งในองค์กรต่างๆของอียู
· นายโรเบิร์ต เคพแลนด์ ประธานเฟดสาขาดัลลัส กล่าวว่า ข้อตกลงการค้าเฟสแรกไม่ได้หมายความว่าความตึงเครียดนั้นจะยุติลงได้ทั้งหมดในเร็วๆนี้ แต่การมาของข้อตกลงเฟสแรกถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่ไม่ได้สะท้อนว่าจะช่วยยุติความไม่แน่นอนทางการค้า และปัญหาทางการค้ากับจีนน่าจะยังดำเนินไปอีกเป็นเวลาหลายปี
· ข้อมูลผลผลิตภาคอุตสาหกรรมสหรัฐฯรีบาวน์ขึ้นเกินคาดในเดือนพ.ย. ท่ามกลางแรงหนุนจากบริษัท General Motors ที่ดูจะช่วยสนับสนุนการผลิตในกลุ่มรถยนต์
โดยผลสำรวจจากเฟด ชี้ว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยในเดือนพ.ย.เติบโตได้ 1.1% ขณะที่ข้อมูลในเดือนต.ค. ถูกปรับทบทวนลงมาที่ 0.7%
อย่างไรก็ดี ข้อมูลเศรษฐกิจในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ และการเปิดรับสมัครตำแหน่งงานว่างก็ออกมาดีขึ้นกว่าที่คาดทั้งหมดเช่นกัน
· เมื่อวานนี้สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯอนุมัติแพ็คเกจค่าใช้จ่าย 1.4 ล้านล้านเหรียญเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดตัวของภาครัฐบาลบางส่วน ก่อนส่งต่อให้ทางวุฒิสภาทำการพิจารณาและอนุมัติร่างงบประมาณดังกล่าวเป็นลำดับต่อไป
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งจดหมายถึง นางแนนซี เปโลซี่ โฆษกสภาผู้แทนราษฎรต่อกระบวนการไต่สวน ณ ปัจจุบัน โดยนายทรัมป์กล่าวตำหนิว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายและความพยายามในการทำรัฐประหาร
ซึ่งจดหมายดังกล่าวมีขึ้น โดยภายในสัปดาห์นี้จะมีการลงมติจากทางสภาผู้แทนราษฎรตอประเด็นที่นายทรัมป์ ถือเป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 แห่งประวัติศาสตร์สหรัฐฯที่เข้าสู่กระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนอย่างเป็นทางการ
· รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum ที่กรุงดาวอส ระหว่าง 21-24 ม.ค. 2020 ในประเด็นความได้เปรียบเสียเปรียบและการพัฒนาอย่างยั่งยืนระดับโลก
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวสูงขึ้นกว่า 1% โดยได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่จะช่วยหนุนอุปสงค์น้ำมันดิบในปี 2020 หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเริ่มมีข้อตกลงที่ช่วยหนุนความเชื่อมั่นในตลาดโลก
น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 76 เซนต์ หรือ +1.2% ที่ระดับ 66.1 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้าน WTI ปิดปรับขึ้น 73 เซนต์ หรือ +1.2% ที่ระดับ 60.94 เหรียญ/บาร์เรล
อย่าไรก็ดี การมาของข้อตกลงการค้าเฟสแรกดูจะช่วยหนุนอุปสงค์น้ำมันในปีหน้าได้ โดยจะเห็นได้จาก JP Morgan และ Goldman Sachs มีการปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันปี 2020 จากแนวโน้มการฟื้นตัวทางการค้าที่ดี ประกอบกับข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มครั้งใหม่ของบรรดากลุ่มโอเปก