· อ้างอิงจาก J.P. Morgan ระบุว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์ในปี 2020 ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัว โดยในปีหน้าอาจเห็นดัชนี S&P500 ปรับขึ้นแตะ 3,400 จุดได้ หรือปรับขึ้น 8% จากระดับปัจจุบัน แม้ว่าประเด็นจาก Trade War อาจเป็นปัจจัยจำกัดได้ในบางช่วง
ขณะที่นักวิเคราะห์ยังมองว่าทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐฯโดยส่วนใหญ่เป็นขาขึ้นโดยน่าจะมีการปรับขึ้นเฉลี่ยแถว 5%
หนึ่งในนักวิเคราะห์ ชี้ว่า วงจรภาคธุรกิจจะเริ่มต้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงต้นปี 2020 และทำให้เทรนตลาดหุ้นสหรัฐฯนั้นเป็นขาขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วนคาดหวังว่าจะเห็นการปรับขึ้นได้เกือบทั้งหมด ก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในช่วง พ.ย. ปีหน้า ซึ่งภาพรวมอาจเห็น S&P500 ปรับขึ้นได้เฉลี่ย 12% และตลอดทั้งปีจะมีอัตราการปรับขึ้นเกือบ 90%
· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 18 เดือน โดยปรับเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 5 วันทำการ ขณะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงท่ามกลางความไม่แน่นอนในประเด็น Brexit
ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมหุ้นญี่ปุ่นเคลื่อนไหวทรงตัวใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. เมื่อปีที่ผ่านมา
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งได้หนุนดัชนี S&P 500 ปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกัน 4 วันทำการ ภาพรวมรายปีเพิ่มขึ้นได้ 27% ด้านดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 0.19%
· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดปรับตัวลดลง หลังจากข้อมูลการส่งออกลดลงติดต่อกัน 12 เดือน ท่ามกลางสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ส่งผลให้ภาวะความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4 ขณะที่เหล่านักลงทุนมีการเทขายทำกำไร
โดยดัชนี Nikkei ลดลง 0.55% ที่ระดับ 23,934.43 จุด ด้านภาคอุตสาหกรรมและดูแลสุขภาพปรับลดลง หลังจากที่ปรับตัวสูงขึ้นไปทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค.ปี 2018 เมื่อวานนี้
ทั้งนี้ เหล่าเทรดเดอร์ผิดหวัง จากข้อมูลการส่งออกที่ออกมาลดลง จากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน
ขณะที่เศรษฐกิจที่ดีขึ้นของสหรัฐทำให้เกิดความคาดหวังว่าการส่งออกของญี่ปุ่นจะฟื้นตัวได้ในปีหน้า
· ตลาดหุ้นจีนปิดปรับตัวลดลง หลังจากเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากเหล่านักลงทุนต้องการรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯและจีน
โดยดัชนี Shanghai Composite ลดลง 0.2% ที่ระดับ 3,017.04 จุด หลังจากขึ้นไปแตะระดับสูงุสดเมื่อวานนี้
· ตลาดหุ้นยุโรปเปิดปรับตัวลดลง เนื่องจากเหล่านักลงทุนกลับมากั
งวลเกี่ยวกับความไม่แน่
นอนประเด็น Brexit หลังจากที่นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ดูจะสร้างความเป็นไปได้ในกรณี No-Deal โดยอังกฤษมีกำหนดเส้นตายภายในธ.
ค. 2020 เพื่อบรรลุข้อตกลงการค้าฉบั
บใหม่ร่วมกับอียู จึงเปรียบเสมือนการกดดันให้อียู
เร่งหาข้อตกลงร่วมกันให้ได้ พร้อมกันนี้ นายจอห์น จะทำการผลักดันร่างกฎหมายไม่ให้
ขยายเวลาออกจากอียูเกินสิ้นปี 2020
โดยดัชนี Stoxx600 ลดลง 0.1% ด้านหุ้นกลุ่มทรัพยากรลดลง 0.4% ขณะที่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น 0.2%
อ้างอิงจากกรุงเทพธุรกิจ
- นายทิตนันท์ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 18 ธันวาคม 2562คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.25 ต่อปี ในการตัดสินนโยบาย คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่า ประมาณการเดิมและต่ำกว่าระดับศักยภาพ จากการส่งออกที่ลดลงซึ่งส่งผลไปสู่การจ้างงานและอุปสงค์ในประเทศ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ภาวะการเงินโดยรวมยังผ่อนคลาย ซึ่งเป็นผลจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสองครั้งในช่วงที่ผ่านมา ส่วนเสถียรภาพระบบการเงินได้รับ การดูแลไปแล้วบางส่วน แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาจะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและเอื้อให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับสู่ กรอบเป้าหมาย คณะกรรมการฯ จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในการประชุมครั้งนี้และจะ ประเมินความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจในอนาคตเพื่อประกอบการดําเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสมในระยะต่อไป
- "ธนาคารแห่งประเทศไทย" หั่น "จีดีพี" ปีนี้เหลือโต 2.5% ปีหน้าโต 2.8% เหตุการส่งออกหดตัวแรงจากพิษสงคราการค้า ขณะที่การลงทุนรัฐและเอกชน ชะลอเกินคาด
คาดว่าการส่งออกสินค้าที่ผ่านมาหดตัวมากกว่าที่ประเมินไว้และมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาด ตามปริมาณการค้าโลกที่ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิชะลอลงจากสภาวะการกีดกันทางการค้า รวมถึงการเปลี่ยน แปลงเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตที่มีผลต่อ ความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออก ทำให้คาดว่าส่งออกปีนี้จะติดลบเพิ่มขึ้นเป็น 3.3%
อ้างอิงจากสำนักข่าว "ข่าวหุ้น"
- คณะกรรรมการกำกับตลาดทุน (ก.ต.ท.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการ ก.ต.ท. ครั้งที่ 14/2562 วานนี้มีมติเห็นชอบการแก้ไขหลักเกณฑ์ของบริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับทองคำ (50 Baht Gold Futures, 10 Baht Gold Futures, Gold-D Futures และ Gold Online Futures) ในช่วงกลางคืน (night session) จากเดิมปิดการซื้อขายเวลา 23.55 น. เป็น 03.00 น. ของวันถัดไป ตามที่ TFEX และ TCH ขอมา โดยการขยายเวลาซื้อขายดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่เมื่อใด ขึ้นอยู่กับแผนงานที่ TFEX จะเป็นผู้กำหนดต่อไป