• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 19 ธันวาคม 2562

    19 ธันวาคม 2562 | Economic News

· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ฟื้นตัวและมีแนวโน้มว่าจะไม่ทำให้เฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในปี 2020 ท่ามกลางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ฟื้นตัว แต่หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวลง

นักกลยุทธ์อาวุโสจาก Nordea Asset Management กล่าวว่า ข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯและจีนก็ยังไม่ได้ถูกลงนามร่วมกัน ดังนั้น ภาพรวมการลงทุนในตลาดจึงเป็นลักษณะ Wait-and-See แต่ทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐฯดูจะแข็งแกร่งต่อเนื่องในช่วงสิ้นปีนี้

ด้านดัชนีดอลลาร์ปรับตัวขึ้น ควบคู่กับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเป็นการปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง 2 วันทำการ หลังสัญญาณทางเศรษฐกิจสหรัฐฯจากข้อมูลต่างๆค่อนข้างแข็งแกร่งตลอดช่วงต้นสัปดาห์

ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.18% ที่ 97.40 จุด ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ปรับขึ้นมาที่ 1.922%

เครื่องมือ FedWatch ของ CME Group เผยคาดการณ์โอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยลงจากระดับปัจจุบัน 1.50 – 1.75% มีโอกาสเพียง 2.2% ในการประชุมเดือนม.ค. ขณะที่เดือนมี.ค. มีโอกาส 4.3% และเดือนเม.ย. มีโอกาส 11% และส่วนใหญ่กว่า 52.9% มองว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยระดับดังกล่าวต่อไปจนถึงธ.ค.ปี 2020

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.3% ที่ 1.112 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลง 0.34% ที่ 1.308 ดอลลาร์/ปอนด์ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงจากคามกังวลที่กรอบเวลาจำกัดอาจทำให้อังกฤษออกจากอียูโดยปราศจากข้อตกลงการค้าได้

· รายงานจาก CNBC ระบุว่า ภาพรวมปีนี้อัตราผลตอบแทนระหว่างระยะสั้น 2 ปี และระยะยาวมี Spread ห่างกันมากถึง 28.7 จุด ซึ่งเป็นระดับความถ่างที่มากที่สุดนับตั้งแต่พ.ย. ปี 2018 อันเป็นผลจากในปีนี้มีช่วงที่ผลตอบแทนระยะสั้นยืนได้สูงกว่าผลตอบแทนระยะยาว และได้กระตุ้นให้เกิดความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์จาก BMO ระบุว่า การที่เฟดคงดอกเบี้ย, ทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯดี และความตึงเครียดทางการค้าที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมได้ส่งผลให้การเคลื่อนไหวกลับสู่สภาวะปกติ

ขณะที่ผลสำรวจบรรดาผู้จัดการกองทุน, นักกลยุทธ์ และนักเศรษฐศาสตร์ ในรายงาน CNBC Fed Survey ประจำเดือนธ.ค. สะท้อนว่า โอกาสที่จะเห็นเศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่สภาวะถดถอยในปีหน้าปรับตัวลงทำระดับต่ำสุดตั้งแต่มิ.ย.ที่ผ่านมา และคาดว่าจีดีพีจะเติบโตได้ 2% ในช่วง 2 ปีข้างหน้า

· ข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯและจีนดูจะทำให้ทิศทางเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนไป และเราเห็นได้ถึงตลาดหุ้นกลับมาปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลังมีประกาศดังกล่าว แต่นักวิเคราะห์หลายๆคน รวมทั้งนักลงทุนต่างก็ยังมีความไม่มั่นใจต่อข้อตกลงการค้าที่เกิดขึ้นเนื่องจากยังขาดรายละเอียดยืนยันจากทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะจีนที่ต้องทำการเข้าซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯเพิ่มขึ้นมหาศาล

นักกลยุทธ์จาก Cowen มองว่า ยังคงมีข้อสงสัยในหลายๆประเด็นของ Trade War ว่าแท้จริงแล้วดูจะเป็นเพียงการสงบศึกทางการค้าชั่วคราวมากกว่าจะเป็นข้อตกลง และยังมีความไม่ชัดเจนว่าจีนจะทำการลดภาษีสินค้าสหรัฐฯเมื่อไหร่ด้วยเช่นกัน และภาพรวมจะเห็นได้ถึงจีนให้รายละเอียดเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าว เพราะถึงแม้จีนจะแสดงท่าทีตั้งใจซื้อสินค้าเกษตรเพิ่ม แต่เราก็ไม่ได้ยินจากจีนว่าจะทำการเข้าซื้อมากเท่าใด มีเพียงแต่ผู้แทนการค้าจากสหรัฐฯที่เผยถึงการที่จีนจะเข้าซื้อสินค้าเกษตรเพิ่ม 4 หมื่นล้านเหรียญตลอดช่วง 2 ปีนี้ ขณะที่นายทรัมป์ มองว่าน่าจะเข้าซื้อมากถึง 5 หมื่นล้านเหรียญ และจีนมีแนวโน้มจะเริ่มดำเนินการดังกล่าวในเร็วๆนี้

นักเศรษฐศาสตร์จาก Citi Group กล่าวว่า การเข้าซื้อสินค้าเกษตรของจีนถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของข้อตกลงเฟสแรก และอาจช่วยสนับสนุนราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น หรือผันผวนในระดับปานกลางได้ แต่การปราศจากการยืนยันของจำนวนการเข้าซื้อถั่วแหลือง, ธัญพืช และเนื้อหมู ว่าจะมีปริมาณการเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ในช่วง 2-3 ปีจากนี้ ยังถือเป็นการสร้างความไม่แน่นอนให้แก่ตลาดอยู่

บรรดานักวิเคราะห์บางรายก็รอดูความคืบหน้าในกระบวนการร่างข้อตกลงการค้าร่วมกัน ที่ถูกคาดว่าจะเกิดการลงนามร่วมกันได้เร็วที่สุดคือช่วงต้นเดือนม.ค.นี้ ขณะที่นายทรัมป์ กล่าวว่า สหรัฐฯจะเริ่มต้นเจรจาเฟสต่อไปในทันที ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นมากกว่าจะรอหลังเลือกตั้ง 2020 ขณะที่จีนไม่ได้กล่าวอะไรถึงข้อตกลงเฟส 2

· สมาชิกเฟด 2 ราย กล่าวว่า ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯยังเป็นไปในเชิงบวกหลังจากที่เฟดได้ตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยลงมาถึง 3 ครั้งในปีนี้ จึงยิ่งตอกย้ำถึงมุมมองที่เฟดน่าจะยังคงดอกเบี้ยต่อไปในเวลานี้

นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวว่า เขามีความกังวลต่อเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ต่ำกว่าเป้าหมาย 2% แต่ก็มีโอกาสที่จะการดำเนินนโยบายของเฟดจะเพียงพอให้เราเห็นเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นมาแตะ 2.2% ได้ในปี 2020

นายจอห์น วิลเลียม ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ก็มีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจในปีหน้านี้ คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะมีการเติบโตได้มากยิ่งขึ้นในปีหน้า

· สภาผู้แทนราษฏรสหรัฐฯที่มีความเห็นแตกออกเป็น 2 ฝั่งเกี่ยวกับการไต่สวนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังจะมีการลงมติครั้งประวัติศาสตร์ภายในเร็วๆนี้ เพื่อตัดสินว่าจะดำเนินการไต่สวนนายทรัมป์ให้เข้าสู่กระบวนการไต่สวนของวุฒิสภาหรือไม่

หากการลงมติครั้งนี้ผ่าน นายทรัมป์จะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 3 ที่ถูกไต่สวนอย่างเป็นทางการ และกระบวนการไต่สวนมุ่งหน้าสู่วุฒิสภาที่มีฝ่ายรีพับลิกันครองเสียงข้างมากภายในเดือนหน้า ขณะที่หัวหน้าพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาระบุว่า กระบวนการดังกล่าวจะ “ไม่เกิดขึ้น”

ก่อนที่จะมีการลงมติสำคัญในสภาผู้แทนราษฎรวันนี้ ทางทีมบริหารของนายทรัมป์ได้มีการกระจายออกไปลงในหลายๆพื้นที่ เพื่อพยายามยกย่องว่านายทรัมป์เป็นประธานาธิบดีที่สามารถทำตามคำสัญญาได้จริง

ยกตัวอย่างเช่น นายไมเคิล บารร์ อัยการสูงสุด เดินทางไปยังรัฐมิชิแกน เพื่อประกาศมาตรการกำจัดอาชญากรรม

ด้านนายอเล็ก อซาร์ รัฐมนตรีระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์ ได้เปิดเผยร่างนโยบาย ที่จะทำให้สหรัฐฯสามารถนำเข้าเวชภัณฑ์ทางการแพทย์จากแคนาดาด้วยต้นทุนที่ถูก เพื่อทำให้เวชภัณฑ์ในสหรัฐฯมีราคาที่ถูกลง เป็นต้น

· ล่าสุด สภาผู้แทนราษฏรสหรัฐฯ มีมติโหวตผ่านการไต่สวนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดังนั้น นายทรัมป์จึงกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 3 ที่ถูกไต่สวนอย่างเป็นทางการ

ขณะที่กระบวนการไต่สวนจะมุ่งหน้าสู่วุฒิสภาภายในเดือนหน้า

· การประชุมบีโอเจในวันนี้ถูกคาดว่าจะเห็นบีโอเจเลือกคงนโยบายดอกเบี้ยต่อไปก่อน และมีการปรับทบทวนมุมมองเศรษฐกิจญี่ปุ่นมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการสะท้อนว่าสมาชิกบีโอเจอาจไม่เร่งเพิ่มการสนับสนุนทางเศรษฐกิจแม้ว่าความเสี่ยงทั่วโลกจะเข้าคุกคามให้การขยายตัวอ่อนแอได้

· ราคาน้ำมันดิบทรงตัวเมื่อคืนนี้ ท่ามกลาง EIA เผยข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวลงกว่าที่คาด ขณะที่ตลาดก็ยังตอบรับกับคาดการณ์ที่จะเห็นอุปสงค์น้ำมันปีหน้าเพิ่มขึ้นจากความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหา Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีน

น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 7 เซนต์ ที่ระดับ 66.17 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับลง 1 เซนต์ ที่ 60.93 เหรียญ/บาร์เรล

รายงานสต็อกน้ำมันดิบของ EIA เผยว่า ปริมาณสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวลง 1.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ก็ยังน้อยกว่าที่ผลสำรวจจากรอยเตอร์สคาดว่าจะเห็นสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวลง 1.3 ล้านบาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com