· ราคาทองคำปรับตัวลดลง ท่ามกลางความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงที่สูงขึ้น เนื่องจากตลาดมีความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นว่าสหรัฐฯและจีนจะสามารถลงนามในข้อตกลงร่วมกันได้เร็วๆนี้ ขณะที่ส่วนหนึ่งกำลังจับตาดูการประกาศยอด GDP สหรัฐฯในคืนนี้
· นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯและจีนจะร่วมกันลงนามในข้อตกลง “เฟสแรก” ในช่วงต้นเดือน ม.ค. พร้อมระบุว่าเพิ่มเติมว่าจะไม่มีการเจรจาแก้ไขใหม่อีกครั้ง
ราคาทองคำปรับลดลง 0.1% แถว 1,478.33 เหรียญ และมีแนวโน้มที่จะสามารถปิดตลาดรายไตรมาสติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 5 ขณะที่ราคาสัญญาทองคำปรับลดลง 0.1% แถว 1,482.70 เหรียญ
· นักกลยุทธ์จาก AxiTrader มีมุมมองว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ มาจากการความตึงเครียดในสงครามการค้า ขณะที่ถ้อยแถลงของนายมนูชินเป็นการส่งสัญญาณว่าความตึงเครียดอาจคลี่คลายลง จึงไม่เป็นผลดีต่อราคาทองคำ
เมื่อวานนี้ กระทรวงการคลังจีนเปิดเผยรายชื่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 6 รายการที่จะได้รับการยกเว้นภาษีเป็นระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. นี้เป็นต้นไป โดยเป็นสินค้าในกลุ่มสารเคมีและผลิตภันฑ์น้ำมัน
· ปริมาณความต้องการทองคำยังเผชิญแรงกดดันจากตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับสูงขึ้นใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 18 เดือน ก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของต่างประเทศ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวจากก่อนหน้านี้ที่แข็งค่าขึ้นได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 สัปดาห์จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าที่คาด
จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่ง โดยจำนวนลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ขณะที่ข้อมูลกิจกรรมภาคอุตสาหกรรมค่อนข้างทรงตัวในเดือน ธ.ค.
· นักวิเคราะห์จาก Standard Chartered Bank คาดกาณร์ว่าราคาทองคำยังมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นได้ในปี 2020 โดยปัจจัยที่ต้องจับตา จะเป็นความเคลื่อนไหวของข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีนเฟสสอง การเลือกตั้งในสหรัฐฯ ทิศทางนโยบายการเงินทั่วโลก และการตอบรับของตลาดที่มีต่อปัจจัยข้างต้น
· ขณะที่ทางฝั่งอังกฤษ นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ให้สัญญาจะผลักดัน Brexit ให้เรียบร้อยก่อนเข้าสู่คริสมาสต์
· ตลาดจะจับตาการประกาศตัวเลข GDP สหรัฐฯคืนนี้ เวลา 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
· ราคาทองคำในช่วงเช้าเคลื่อนไหวแถวระดับ 1,478 เหรียญ ซึ่งเมื่อเทียบกับราคาทองคำในช่วงเปิดตลาดปีนี้ ราคาสามารถปรับขึ้นมาได้ 15% ซึ่งถือเป็นอัตราปรับขึ้นที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งในปีนั้นราคาสามารถปรับขึ้นได้ 29.6% เทียบกับปี 2017 ที่ราคาปรับขึ้นได้ 13.21%
ราคาได้แรงหนุนจากการผ่อนคลายนโยบายของเฟด
ปัจจัยหลักที่หนุนการปรับขึ้นของราคาทองคำปีนี้ มาจากการเปลี่ยนแปลงการดำเนินนโยบายของเฟดแบบกลับตาลปัตร จากคุมเข้มมาเป็นผ่อนคลายตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปี และมีการปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ทั้งหมด 3 ครั้ง
นอกจากนี้เฟดยังมีการปรับลดพอร์ตงบดุลลงเป็นมูลค่ากว่า 3 แสนล้านเหรียญ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จึงเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาทองคำ
ความตึงเครียดเกี่ยวกับสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ก็เป็นปัจจัยที่หนุนราคาทองคำ
ทิศทางต่อไปของทองคำ
ผู้เชี่ยวชาญบางรายเชื่อว่าราคาทองคำน่าจะมีทิศทางที่ไม่ค่อยสดใสนักภายในปีหน้า เนื่องจากเฟดส่งสัญญาณชะลอการปรับลดดอกเบี้ย และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในเดือน พ.ย. ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ น่าจะพยายามเจรจาสงบศึกกับจีน เพื่อนำมาเป็นแรงหนุนในการเลือกตั้ง
· กรณีการไต่สวนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คุณอาจจะคิดว่าส่งผลให้มีการเข้าซื้อทองคำเพิ่มมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วราคาทองคำกลับไม่ได้ตอบรับกับกรณีดังกล่าวมากนัก โดยยังคงเคลื่อนไหวแบบ Sideways
ซึ่งหากเหล่านักลงทุนมีความกังวลว่านายทรัมป์ อาจถูกปลดจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็จะส่งผลบวกต่อพันธบัตรรัฐบาลและค่าเงินเยน จึงเป็นปัจจัยที่อาจช่วยหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นได้
· บรรณาธิการจาก TheGoldForecast.com มีมุมมองว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ณ ปัจจุบัน เป็นการสร้างฐานแถว 1,450 เหรียญ เพื่อที่ราคาจะสามารถปรับขึ้นต่อไปได้ โดยมองว่าราคาอาจปรับขึ้นไปได้ถึง 15% จากระดับปัจจุบัน ไปจนถึง 1,650 เหรียญ และอาจไปถึงบริเวณ 1,690 – 1,700 เหรียญ หากทิศทางขาขึ้นกลับมาอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง
สำหรับปัจจัยที่คาดว่าจะช่วยหนุนให้ราคาทองคำปรับขึ้นไปได้อีก คือการผ่อนคลายนโยบายการเงินของเฟด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเฟดตัดสินใจผ่อนคลายนโยบายลงอีกหรือปรับลดดอกเบี้ยภายในปีหน้า
· ด้านราคาพลาเดียมปรับสูงขึ้น 0.4% แถว 1,944.44 เหรียญ หลังทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,998.43 เหรียญเมื่อวันอังคาร เนื่องจากภาวะขาดแคลนอุปทาน
· ราคาซิลเวอร์ทรงตัวแถว 17.06 เหรียญ ส่วนราคาแพลทินัมปรับสูงขึ้น 0.1% แถว 934.39 เหรียญ