• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 3 มกราคม 2563

    3 มกราคม 2563 | SET News
    

· ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังคงทำ All-Time Highs ได้อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์จากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ควบคู่กับการเดินหน้าปรับขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันทำการแรกของปี โดยตลาดยังตอบรับกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจีนครั้งใหม่ ที่ดูจะเพิ่มมุมมองเชิงบวอกต่อภาวะสงครามการค้าที่ผ่อนคลายลง และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่สดใสขึ้

ดัชนีดาวโจนส์ปิด +330.36 จุด หรือคิดเป็น +0.9% ที่ระดับ 28,868.80 จุด และทำให้ภาพระดับวันปรับตัวขึ้นได้มากที่สุดนับตั้งแต่ 6 ธ.ค. ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด +0.8% ทำระดับที่ดีที่สุดตั้งแต่ 12 ธ.ค. ที่ 3,257.85 จุด และดัชนี Nasdaq ปิด +1.3% ที่ 9,092.19 จุด เป็นระดับปิดที่ดีที่สุดตั้งแต่ 11 ธ.ค.

เมื่อวานนี้ธนาคารกลางจีนจะทำการปรับลดเงินสดสำรองของทุกภาคธนาคารเพื่อให้สามารถปล่องเงินกู้เพิ่มได้ หรือเพื่อเป็นการอัดฉีดสภาพคล่องหนุนเศรษฐกิจจีนด้วยเม็ดเงินราว 8 แสนล้านหยวน และการปรับลดครั้งล่าสุดถือเป็นการปรับลดต่อเนื่องครั้งที่ 8 นับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2018 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และทำให้ตลาดหุ้นตอบรับในเชิงบวกซึ่งการดำเนินการดังกล่าว ควบคู่กับทิศทางสงครามการค้าเชิงบวกดูจะทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวได้เร็วขึ้นในปี 2020

ดัชนี S&P500 ปรับขึ้นทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง 11 ครั้งในรอบ 14 วันทำการและมีอัตราการปรับขึ้นรายวันที่มากที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อวานนี้ ทางด้านดาวโจนส์เองก็ปรับขึ้นได้มากที่สุดในรอบเกือบ 4 สัปดาห์ ทางด้าน Nasdaq ปรับขึ้นได้ในรอบเกือบ 3 เดือน

· นักวิเคราะห์จาก Bank of America Merrill Lynch คาดว่า ดัชนี S&P500 อาจพุ่งขึ้นแตะ 3,850 จุดได้หากภาพรวมยังคงมีทิศทางการเคลื่อนไหวและปรับตัวขึ้นได้ แต่หากดัชนีหลุด 3,063 จุด จะส่งสัญญาณกลับมาเป็นขาลงอีกครั้ง

· ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวสูงขึ้นจากตลาดที่ตอบรับกับโอกาสที่จะเห็นข้อตกลงการค้าเฟสแรกลงนามได้ในวันที่ 15 ม.ค.นี้ตามที่นายทรัมป์ กล่าวถึงทางทวิตเตอร์ โดยดัชนี Stoxx600 ปิด +1%

· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ยังคงทำ All-Time Highs ครั้งใหม่ โดยดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้เปด +1.08% ทางด้าน S&P/ASX200 ปิด +1.22%

สำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังคงปิดทำการในวันศุกร์

· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 30.00 - 30.25 บาท/ดอลลาร์ โดยหากมีแรงซื้อดอลลาร์มาก และในทางเทคนิคเงินบาททะลุ 30.18 บาท/ดอลลาร์ขึ้นไป ก็มีโอกาสที่เงินบาทจะอ่อนค่า ได้ต่อ แต่ทั้งนี้คงต้องดูจาก flowว่ามีเข้ามามากน้อยเพียงใดด้วย

- นายกรัฐมนตรีไทย กล่าวถึงเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นและมีการคาดการณ์ปีนี้ว่าจะหลุด 30 บาท/ดอลลาร์ว่า ได้มีการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาโดยตลอด ซึ่งขณะนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมกันทั้งจากกระทรวงการคลัง ธปท. และหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ เพื่อติดตามสถานการณ์เงินบาทอย่างใกล้ชิดและหามาตรการเสริมมาช่วยลดผลกระทบ

- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เช้าวานนี้ (2 ม.ค.) เงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงจากที่ได้แข็งค่าเร็วในช่วงก่อนวันหยุดสิ้นปี มาถึงระดับ 30.18 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าอัตราอ้างอิงเฉลี่ยของวันที่ 30 ธ.ค.62 โดยสภาพคล่องในตลาดเริ่มกลับมาเป็นปกติ แต่ค่าเงินบาทยังมีความผันผวนสูงในสภาวะที่ตลาดกำลังมีการปรับสมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขายดอลลาร์ ทั้งนี้ ธปท.จะดูแลการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด โดยผู้ร่วมตลาดอาจรอดูสถานการณ์การปรับตัวของตลาดสู่ภาวะปกติก่อนเร่งทำธุรกรรม

- ธปท. เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนธ.ค.62 อยู่ที่ระดับ 45.1 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีฯ ของภาคการผลิตอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 และปรับลดลงในเกือบทุกองค์ประกอบ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในภาคการผลิตโดยรวมที่ยังแย่ลงต่อเนื่อง

- กระทรวงพาณิชย์ เผยอัตราเงินเฟ้อในเดือนธ.ค.62 สูงขึ้น 0.87% เป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 5 เดือน โดยเฉพาะการขยายตัวอย่างช้าๆ และต่อเนื่องของเงินเฟ้อพื้นฐาน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการช่วยเหลือภาคเกษตรของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสนับสนุนให้มีการบริโภคเพิ่มขึ้น โดยเงินเฟ้อทั้งปี 2562 เฉลี่ยสูงขึ้น 0.71% ขณะที่แนวโน้มเงินเฟ้อในปี 2563 คาดว่าจะอยู่ในกรอบ 0.4-1.2% หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 0.8%

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com