• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 16 มกราคม 2563

    16 มกราคม 2563 | Economic News

· ค่าเงินในตลาดเอเชียปรับแข็งค่าขึ้นในวันนี้ ท่ามกลางแรงหนุนจากการลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่อาจช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศและช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกได้

ประธานสถาบัน Asia investment strategy ระบุว่า การลงนามครั้งนี้ หมายความว่าจะมีไม่มีการขึ้นภาษีอีกในปีนี้อย่างแน่นอน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ตลาดต้องการ

ค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์แข็งค่า 0.2% แถวระดับ 0.6635 ดอลลาร์ และมีแนวโน้มปิดตลาดวันนี้ในแดนบวกได้เป็นวันแรกในรอบสัปดาห์

ค่าเงินหยวนแข็งค่า 0.1% แถว 6.8842 หยวน/ดอลลาร์ ใกล้ระดับแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 6 เดือน โดยค่าเงินหยวนมักเป็นค่าเงินที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ามากที่สุด

ค่าเงินเยนอ่อนค่าเล็กน้อยแถว 109.92 เยน/ดอลลาร์ ขระที่ค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์แข็งค่าเล็กน้อยแถว 0.6908 ดอลลาร์

ด้านค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินยูโรและเงินปอนด์ โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะเป็นปัจจัยกดดันค่าเงินดอลลาร์

ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวแถว 97.195 จุด ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบสัปดาห์



· นักวิเคราะห์จากสถาบัน Westpac มองว่า ตลาดได้เคลื่อนไหวตามกระแสคาดการณ์ว่าจะเกิดการลงนามมาเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างนานแล้ว จึงมีความเป็นไปได้ต่ำที่ตลาดจะปรับสูงขึ้นได้อีกหลังจากนี้ เว้นแต่ยังมีความคืบหน้าเกี่ยวกับการพัฒนาไปสู่การค้าเสรีและอัตราภาษีที่ลดลง แต่คาดว่าจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้แน่นอน


· รายงานจาก CNBC ระบุว่า ตลาดคืนนี้จะจับตาปัจจัยสำคัญทั้ง 3 ปัจจัยดังต่อไปนี้



1) รายงานผลประกอบการของ Morgan Stanley


หนึ่งในธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐฯจะมีรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4/2019 ในคืนนี้ ก่อนเปิดตลาดสหรัฐฯ โดยคาดว่าจะผลประกอบการของธนาคารฯจะมีรายได้ 1.08 เหรียญ/ หุ้น เทียบกับ 80 เซนท์/หุ้น ในไตรมาสเดียวกันของปี 2018 ขณะที่ภาพรวมรายได้ของธนาคารฯถูกคาดว่าจะออกมาที่ 4.0287 หมื่นล้านเหรียญ เทียบกับ 4.0107 หมื่นล้านเหรียญ ในไตรมาสเดียวกันของปี 2018



2.ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ



กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯจะเปิดเผยยอดค้าปลีกของเดือน ธ.ค. ในคืนนี้ ซึ่งเดือน ธ.ค. ถือเป็นเดือนที่มีการซื้อขายคึกคักมากที่สุดในแต่ละปี แต่มูลค่าหุ้นของ Target หนึ่งในผู้ค้าปลึกรายใหญ่ในสหรัฐฯ กลับปรับลดลง 7% เมื่อคืนนี้ หลังรายงานยอดค้าปลีกออกมาน่าผิดหวัง



3. มาตรวัดภาคอุตสาหกรรม

ตลาดจะจับตาการประกาศดัชนีภาคอุตสาหกรรมโดยเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย (Philly Fed Manufacturing Index) ที่อาจช่วยบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของภาคอุตสาหกรรมในเดือน ธ.ค. ได้



· รายงานจาก CNN ระบุว่า แม้สหรัฐฯและจีนจะสามารถทำข้อตกลงการค้าขั้นต้นร่วมกันได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหยุดยั้งปัญหาข้อขัดแย้งและความไม่แน่นอนทางการค้าทั้งหมดที่ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้

ข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนมีแนวโน้มที่จะอยู่ต่อไปในปี 2020 ขณะที่ทั้งสองประเทศเข้าสู่การเจรจาในเฟสที่สอง ซึ่งถูกคาดว่าจะเป็นการเจรจาที่ยากลำบากเสียยิ่งกว่าการเจรจาในเฟสแรก

ทางสหภาพยุโรปเองก็มีประเด็นความขัดแย้งทางการค้าร่วมกับสหรัฐฯ ท่ามกลางความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายที่ยังคงถูกทดสอบเรื่อยๆ ทาอังกฤษเองก็กำลังจะถอนตัวออกจากยุโรป จึงจำเป็นต้องเร่งเจรจาเพื่อหาข้อตกลงกาคค้าระหว่างอังกฤษและยุโรป เนื่องจากยุโรปถือเป็นตลาดส่งที่ใหญ่ที่สุดสำหรับอังกฤษ



· ข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯและจีนนั้น ยังได้กล่าวถึงสิทธิ์สำหรับการเข้าถึงภาคการเงินในตลาดจีนอีกด้วย ดังนั้นบรรดาบริษัทสหรัฐฯที่กำลังมีเป้าหมายเข้ามาลงทุนในตลาดจีนน่าจะได้รับแรงหนุนจากข้อตกลงฉบับนี้

โดยข้อตกลงระบุให้จีนยกเลิกข้อจำกัดสำหรับบริษัทต่างชาติในการเข้าถึงตลาดการเงินของจีนในระยะเวลา 9 เดือน ก่อนถึงเดือน ธ.ค. ปี 2020 โดยข้อจำกัดในการเข้าถึงดังกล่าว จะครอบคลุมไปยังกลุ่มธนาคาร ประกันภัย และโบรกเกอร์ต่างๆ



· ผลสำรวจโดยเฟด พบว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วง 6 สัปดาห์สุดท้ายของปี 2019 ขยายตัวได้ในระดับปานกลาง แต่ความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯที่ไม่มีความแน่นอน เป็นปัจจัยที่กดดันความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ รวมถึงการขึ้นภาษีที่กดดันความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจในหลายๆรัฐ



· บีโอเจถูกคาดการณ์ว่าจะมีมติคงนโยบายการเงินไว้ดังเดิมในการประชุมสัปดาห์หน้า โดยจะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับ -0.1% และเป้าหมายอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีไว้ที่ 0% ขณะที่ปรับคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นขึ้นเล็กน้อย โดยคาดการณ์เดิมอยู่ที่ 0.7% สำหรับปีงบประมาณ 2020 และ 1.0% สำหรับปีถัดไป

ด้านถ้อยแถลงหลังการประชุมของนายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าบีโอเจ มีแนวโน้มที่จะท่าทีควบคุมการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนลคายพิเศษไว้ดังเดิม เนื่องจากเศรษฐกิจยังเผชิญผลกระทบจากสงครามการค้าและการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อเดือน ต.ค.



· ราคาน้ำมันปรับขึ้น หลังการลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯและจีน ซึ่งมีกำหนดให้จีนเพิ่มปริมานเข้าซื้อสินค้ากลุ่มพลังงานจากสหรัฐฯ ขณะที่รายงานปริมาณสต็อกน้ำมันสหรัฐฯออกมาลดลงกว่าที่คาด

โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 0.5% หรือ 30 เซนต์ ที่ 64.30 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น0.5% หรือ 30 เซนต์ ที่ 58.11 เหรียญ/บาร์เรล



· ราคาน้ำมัน WTI รีบาวน์เหนือระดับ 58 เหรียญ/บาร์เรล



ราคาน้ำมัน WTI ค่อยๆปรับขึ้นมายืนแถวระดับ 58.25 เหรียญ/บาร์เรล ในช่วงสายวันนี้ โดยราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนมาจากการลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างจีนและสหรัฐฯ ขณะที่ข่าวสารทางเศรษฐกิจที่ผสมผสานกันเป็นปัจจัยจำกัดการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน

Technical Analysis

หากราคาน้ำมันยืนเหนือระดับ 59.00 เหรียญ/บาร์เรลได้ น่าจะเริ่มมีแรงเข้าซื้อกลับมา โดยจะมีเป้าหมายถัดไปที่ระดับ 60.15 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับ 38.2% Fibonacci retracement แต่ถ้าหากราคาหลุดต่ำกว่าระดับ 57.75 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ยราย 200 วัน จะมีโอกาสย่อตัวลงไปถึง 56.70 เหรียญ/บาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com