· ดัชนีดาวโจนส์ปิด +186.3 จุด หรือ +0.65% ที่ 28,722.1 จุด จึงช่วยยุติการปรับตัวลงต่อเนื่องในช่วง 5 วันก่อนหน้าที่ถือว่าเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันยาวนานที่สุดตั้งแต่ต้นเดือนส.ค.ได้ ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด +1.01% ที่ 3,276.23 จุด แลNasdaq ปิด +1.43% ที่ 9,269.68 จุด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯมีการรีบาวน์ ท่ามกลางดัชนี S&P500 ที่ฟื้นตัวหลังลงจากที่ปรับตัวลงรายวันที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบเกือบ 4 เดือน โดยได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของหุ้นบริษัทแอปเปิ้ล ที่ปรับขึ้นกว่า 2.83% จากยอดขายไอโฟนที่เพิ่มขึ้น และทำให้ตลาดคาดว่าผลประกอบการไตรมาสที่ 4/2019 น่าจะออกมาดีขึ้น แต่นักลงทุนก็ยังคงเฝ้ารอผลประกอบการดังกล่าว เนื่องจากกังวลว่าจะบริษัทฯจะได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาที่กำลังแพร่ระบาดไปทั่วประเทศจีน
ตลาดทั่วโลกเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น หลังจากที่ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกหรือ WHO แสดงความเชื่อมั่นว่าจีนจะสามารถจัดการควบคุมและยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาได้
· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดปรับตัวสูงขึ้นในเช้านี้ตามการรีบาวน์ของหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนนี้ โดยดัชนีนิกเกอิเปิด +0.38% ด้าน Topix เปิด +0.22% ในส่วนของดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้เปิด +0.43% ทางด้านดัชนี S&P/ASX200 เปิด +0.5% และภาพรวมดัชนี MSCI ที่ไม่รวมญี่ปุ่นเปิด +0.17%
ตลาดหุ้นจีนยจังคงปิดทำการเนื่องในวันหยุดประจำชาติ
· เช้านี้ล่าสุดหุ้นฮ่องกงเปิดทำการวันแรกก็ดิ่งลงไปเกือบ 3% จากความกังวลเรื่องไวรัสโคโรนา
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 30.80 - 31.00 บาท/ดอลลาร์ โดยวันนี้ เงินบาทมีโอกาสไปทดสอบระดับ 31.00 บาท/ดอลลาร์ และบาทยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าไปจนกว่าจะมีความชัดเจนว่า สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้แล้ว ไม่มีคนติดเชื้อเพิ่ม ไม่มีคนตายเพิ่ม
- กระทรวงสาธารณสุขไทย เปิดเผยว่า คณะผู้เชี่ยวชาญได้ยืนยันแล้วว่าผู้ป่วยชาวจีนทั้ง 6 คนที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ของจีนติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
- ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับสมาคม ตลอดจนผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยว เพื่อติดตามผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคนาสายพันธุ์ใหม่ โดยคาดว่าจากสถานการณ์ดังกล่าวจะกระทบต่อยอดนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยปีนี้ให้ลดลงราว 2 ล้านคน จากปีก่อนที่มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาในประเทศไทยราว 11 ล้านคน
- รมว.คลังไทย คาดว่าจะออกมาตรการ"ชิม ช้อป ใช้" เฟส 4 ในช่วงเดือน ก.พ.63 เพื่อให้เกิดผลกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะจัดทำมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์มากที่สุด สำหรับกลุ่มเป้าหมายจะยังเน้นที่ประชาชนและร้านค้าในประเทศ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะคงกลุ่มเป้าหมายเดิมและเพิ่มกลุ่มเป้าหมายใหม่เข้ามาเสริม
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะทบทวนประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปีนี้ จากเป้าหมายเดิมคาดว่า จะเติบโต 3.3% เนื่องจากมีหลายปัจจัยกระทบ โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว และเหตุการณ์ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จากจีน ซึ่งจะประเมินให้อยู่ในภาพของความเป็นจริง พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลมีวิธีการบริหารจัดการกับผลกระทบที่เกิดขึ้น
- ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไทย (ครม.) เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่ การหักค่าใช้จ่ายจากการลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรได้ 2.5 เท่า ซึ่งสูงกว่าที่เคยให้มาที่ 2 เท่า,การยกเว้นอาการขาเข้าเครื่องจักร 146 ประเภท และ มาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อการผลิต ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)
- ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไทย (ครม.) อนุมัติก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ระยะทาง 13.4 กิโลเมตร ในรูปแบบการลงทุน PPP Net cost
- อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศของไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์การค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยในปี 2562 มีมูลค่าทั้งสิ้น 1,337,282 ล้านบาท ขยายตัวลดลง 3.43%