• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 30 มกราคม 2563

    30 มกราคม 2563 | Economic News

สถานการณ์ไวรัสโคโรนา


· ไวรัสโคโรนาระบาดหนัก รัฐบาลกระทรวงการต่างประเทศจากหลายพท้นที่เริ่มบินช่วยเหลือพาประชาชนออกจากมณฑลหูเป่ยของจีน ขณะที่ทางการชี้ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งแตะ 160 คนแล้ว

สำนักงานคณะกรรมาธิการด้านสุขภาพประจำหูเป่ย ระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 37 ราย รวมเป็น 162 ราย ในเวลานี้ ขณะเดียวกันพบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 1,032 ราย

แม้ว่าจะพบผู้ติดเชื้อในหูเป่ยเป็นหลัก แต่ก็ยังมีผู้ติดเชื้อกว่า 15 ประเทศทั่วโลก นอกเหนือจากจีนด้วยเช่นกัน


· ทางด้าน CNN ระบุว่า ไวรัสโคโรนาดูจะทำให้ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงกว่า 7,000 ราย และเสียชีวิตเพิ่มประมาณ 170 รายได้



· องค์กรอนามัยโลกจะมีการประชุมฉุกเฉินขึ้นภายในวันนี้ เพื่อหารือกันอีกครั้งว่าจะกำหนดให้การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นภาวะฉุกเฉินระดับหรือไม่ ในขณะที่รัฐบาลของหลายๆประเทศเริ่มเดินหน้าแผนอพยพคนของประเทศตัวเองออกจากเมืองอู่ฮั่นแล้ว




· ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ท่ามกลางแรงเช้าซื้อค่าเงินในฐานะ Safe-haven จากความกังวลต่อการระบาดของไวรัสโคโรนา ขณะที่ตลาดยังคงจับตาความเสียหายต่อเศรษฐกิจที่เกิดจากเชื้อไวรัส

ดัชนีดอลลาร์แข็งค่า 0.07% ที่ระดับ 98.15 จุด ขณะที่ค่าเงินยูโรอ่อนค่า 0.15% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ที่ระดับ 1.1003 ดอลลาร์/ยูโร ใกล้ระดับอ่อนค่าที่สุดของวันที่ 29 พ.ย.

ในภาพรวมตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาแล้ว 1.8%

นักวิเคราะห์จาก ING ระบุว่า ตลาดเริ่มมีกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% อย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ ดังนั้นค่าเงินดอลลาร์จึงมีแนวโน้มที่จะทรงตัวอยู่ในบริเวณนี้ได้

ค่าเงินปอนด์อ่อนค่า 0.1% ที่ระดับ 1.3020 ดอลลาร์/ปอนด์ ก่อนหน้าการประชุมของบีโออี ที่ตลาดมีกระแสคาดการณ์ผสมผสานกันว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงหรือไม่



· เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.50% – 1.75% ตามคาด พร้อมคงมุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะยังสามารถเติบโตต่อไปได้ในระดับปานกลาง ท่ามกลางตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง โดยยังไม่มีการส่งสัญญาณถึงการปรับอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆแต่อย่างใด

ถ้อยแถลงของนายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด เมื่อคืนนี้ กล่าวย้ำถึงความเชื่อมั่นว่าการดำเนินนโยบายของเฟดในปัจจุบัน มีความเหมาะสมที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อขยายตัวถึงเป้าหมายที่ 2% ได้ ขณะที่ปัจจัยเสียงอย่างความตึงเครียดทางการค้าที่ลดน้อยลงไป ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม นายโพเวลล์ได้ระบุว่า มีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจครั้งใหม่เกิดขึ้น ซึ่งก็คือการระบาดของไวรัสโคโรนา โดยเฟดกำลังจับตาสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด แต่ยัง “เร็วเกินไป” ที่จะสามารถตัดสินได้ว่าจะมีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลกเช่นไร


· เฟดยังไม่มีการประกาศใดที่เกี่ยวข้องกับการเข้าซื้อพันธบัตรเป็นมูลค่า 6 หมื่นล้านเหรียญ/เดือน เพื่อรักษาสภาพคล่องของตลาด

แต่นายโพเวลล์ได้ระบุว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับลดมูลค่าการเข้าซื้อพันธบัตรลงในช่วงเดือน เม.ย. – มิ.ย. ซึ่งน่าจะเป็นช่วงที่ปริมาณการถือครองทรัพย์สินสำรองของภาคธนาคารเริ่มเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมแล้ว


· ยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯเพิ่มสูงขึ้นในเดือน ธ.ค. ท่ามกลางปริมาณการนำเข้าที่ฟื้นตัว ขณะที่บรรดาผู้ประกอบการมีความระมัดระวังในการเก็บสินค้าไว้ในคลังมากขึ้น ส่งผลให้บรรดานักเศรษฐศาสตร์พากันปรับคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯในไตรมาสที่ 4/2019

ตัวเลขทางภาคอสังหาริมทรัพย์เมื่อวานนี้ก็ออกมาไม่ค่อยสดใสนัก โดยยอดขายบ้านมือสองเดือน ธ.ค. ปรับลดลงด้วยอัตราที่มากที่สุดในรอบกว่า 9 ปีครึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2018 จนถึง ครึ่งแรกของปี 2019 ท่ามกลางอัตราภาษีสำหรับการจำนองที่ลดน้อยลง

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่า หลังจากที่ดุลการค้าของสหรัฐฯปรับลดลงตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ท่ามกลางปริมาณนำเข้าที่ลดลง ล่าสุดปรับเพิ่มขึ้น 8.5% สู่ระดับ 6.83 หมื่นล้านเหรียญในเดือน ธ.ค.



· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามในข้อตกลงการค้า USMCA (U.S.-Mexico-Canada Agreement) ที่ตกลงร่วมกับเม็กซิโกและแคนาดา และจะมาแทนที่ข้อตกลง NAFTA (North American Free Trade Agreement) โดยที่เนื้อหาในข้อตกลงระบุถึงการควบคุมแรงงานและสินค้ากลุ่มยานยนต์ที่รัดกุมยิ่งขึ้น ขณะที่มูลค่าการซื้อขายภายใต้ข้อตกลงยังถูกคงไว้ที่ระดับ 1.2 ล้านล้านเหรียญไม่เปลี่ยนแปลง

บรรดาผู้นำทางเศรษฐกิจมีกระแสตอบรับในเชิงบวกกับข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งได้รับการรับรองจากรัฐบาลเม็กซิโกไปก่อนหน้านี้แล้ว และตอนนี้กำลังรอให้ทางแคนาดาอนุมัติข้อตกลงก่อนที่จะมีสามารถมีผลบังคับใช้จริงได้ แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าทางแคนาดาจะให้การอนุมัติข้อตกลงดังกล่าวเมื่อไหร่ เนื่องจากทางแคนาดามีการแสดงความกังวลถึงเนื้อหาในข้อตกลง และยังไม่มีการกำหนดช่วงเวลาที่ชัดเจนสำหรับการลงมติข้อตกลง



· การผลักดันของพรรคเดโมแครตในวุฒิสภาให้เห็นด้วยกับการเรียกพยานมาให้ปากคำเพิ่มเติมในกระบวนการไต่สวนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดูเหมือนจะไม่ได้รับการยอมรับจากวุฒิสภาเท่าที่ควร จึงมีความเป็นไปได้ที่นายทรัมป์จะได้รับการลงมติให้พ้นความผิดภายในวันศุกร์นี้สูงยิ่งขึ้น



· ราคาน้ำมันปรับลดลงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาที่กำลังกดดันปริมาณอุปสงค์ในน้ำมัน และยังถูกกดดันจากปริมาณสต็อกน้ำมันสหรัฐฯที่ประกาศออกมาสูงขึ้นกว่าที่คาด ขณะที่กระแสคาดการณ์ว่ากลุ่มโอเปกจะขยายเวลาของมาตรการปรับลดกำลังการผลิตเป็นปัจจัยที่ยังช่วยหนุนราคาได้บ้าง

ราคาน้ำมันดิบ Brent ปิด +30 เซนท์ ที่ระดับ 59.81 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิด +15 เซนท์ หรือ 0.3% ที่ระดับ 53.33 เหรียญ/บาร์เรล

 


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com