· รายงานอย่างเป็นทางการสำนักคณะกรรมาธิการสาธารณสุขจีน เปิดเผยยอดผู้เสียชีวิตเพิ่ม ซึ่งก็ยังคงเป็นการเสียชีวิตในพื้นที่แพร่ระบาดอย่างมณฑลหูเป่ยของจีนเป็นหลัก โดยมียอดเพิ่มมาอีก 73 ราย รวมเป็น 636 ราย และพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 3,143 ราย รวมเป็น 31,161 ราย
· สถาบันทางเศรษฐกิจอย่าง IHS Markit แสดงความกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา พร้อมคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกดูจะได้รับผลกระทบที่ย่ำแย่กว่าการแพร่ระบาดของโรคซาร์ส ในปี 2003 และจะทำให้เศรษฐกิจโลกมีมูลค่าความเสียหายกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญ โดยจะเห็นว่าถึงจะมีการแพร่ระบาดของโรคซาร์ส แต่ในเวลานั้นจีนเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในลำดับที่ 6 ต่างจากปัจจุบันที่เป็นประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นลำดับที่ 2 ดังนั้น ผลกระทบที่เกิดในจีนจะคิดเป็นร้อยละ 16.3 ของจีดีพีทั้งโลก จากในช่วงเกิดโรคซาร์สผลกระทบจากจีนอยู่ที่ร้อยละ 4.2 ของจีดีพีโลก
· ค่าเงินเยนและสวิสฟรังก์ ซึ่งเป็นค่าเงินในหมวดสินทรัพย์ปลอดภัยยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 จากการแข็งค่าของดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนต้องการสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นจากความมั่นใจในรัฐบาลจีนที่พยายามยับยั้งและควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาเพื่อจำกัดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงทำต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์เมื่อเทียบดอลลาร์ ที่ระดับ 109.92 เยน/ดอลลาร์ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ตอบรับกับข่าวที่จีนจะทำการหั่นภาษีนำเข้าสหรัฐฯครึ่งหนึ่งในจำนวน 1,717 รายการที่ขึ้นไว้ในปีที่แล้ว ตามการลงนามข้อตกลงเฟสแรกร่วมกัน
ค่าเงินยูโรเองก็ร่วงลงทำต่ำสุดรอบ 2 เดือนเมื่อเทียบดอลลาร์ จากข้อมูลคำสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมเยอรมนีออกมาแย่กว่าที่คาดในเดือนธ.ค. ที่ระดับ -2.1% จาก พ.ย. จึงเป็นระดับปรับตัวลงมากที่สุดตั้งแต่ก.พ. ปีที่แล้ว และสะท้อนว่าเศรษฐกิจยูโรโซนยังคงชะลอตัวในช่วงเริ่มต้นปีนี้
ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้นแตะ 98.432 จุด อันได้รับอานิสงส์จากการประกาศข้อมูลผู้ขอรับสวัสดิการคนว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯที่ลดจำนวนลงทำต่ำสุดรอบ 9 เดือน ควบคู่กับข้อมูลการจ้างงานอื่นๆที่ประกาศออกมา
· การประกาศข้อมูลจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ พบว่า มีการว่างงานลดลงทำระดับต่ำสุดรอบ 9 เดือน ในสัปดาห์ที่แล้วแตะระดับ 202,000 ราย หรือลดลงจากสัปดาห์ก่อน 15,000 ราย จึงสะท้อนถึงภาวะความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน
· ทางการจีนประกาศจะปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯจำนวน 1,717 รายการตามข้อตกลงเฟสแรกที่ลงนามร่วมกันไป โดยจะมีผลบังคับใช้เริ่มตั้งแต่ 14 ก.พ. เป็นต้นไป โดยจะเป็นการลดระดับภาษีลงครึ่งหนึ่ง โดยในกลุ่มสินค้าที่ขึ้นภาษีไว้ที่ 10% จะลดลงเหลือ 5% ขณะที่กลุ่มที่ขึ้นภาษีที่ 5% จะลดลงสู่ 2.5%
อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีกระทรวงการคลังจีน กล่าวว่า การลดระดับภาษีจากจีนที่มีขึ้นก็คาดว่าจะเห็นสหรัฐฯมีการประกาศลดภาษีสินค้าสหรัฐฯที่มีกำหนดการในวันที่ 14 ก.พ. เช่นกัน แต่การปรับเปลี่ยนก็สามารถเป็นไปได้ขึ้นอยู่กับความคืบหน้าในการร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน หรือสถานการณ์ทางการค้า
· เมื่อวานนี้ นายฟิล ฮอแกน คณะกรรมาธิการด้านการค้าของอียูเดินทางมาเจรจากับ นายโรเบิร์ต ไลท์ไธเซอร์ ที่ถูกมอบหมายให้เป็นผู้แทนการเจรจาครั้งนี้ทางด้านความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหรัฐฯและอียู ท่ามกลางท่าทีคุกคามในการจะขึ้นภาษีรถยนต์ยุโรปจากทางสหรัฐฯ
ขณะที่สัปดาห์ที่แล้ว นายทรัมป์ เคยระบุถึงความตั้งใจที่จะขึ้นภาษีนำข้ารถยนต์ยุโรปหากว่าข้อตกลงการค้าระหว่างสองประเทศยังคงชะงักงัน
นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง กล่าวกับ Fox Business Network ว่าทีมบริหารของนายทรัมป์ต้องการบรรลุข้อตกลงกับอียูในเรื่องของสินค้าเกษตรและประเด็นหลักสำคัญอื่นๆ
· รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า ผู้ว่าการธนาคารกลางรายใหญ่ 6 แห่ง ซึ่งรวมถึงบีโอเจ และอีซีบี กำลังเตรียมจัดการประชุมร่วมกันในช่วงกลางเดือนเม.ย.นี้ เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการออกสกุลเงินดิจิทัลของตนเอง และมีแผนที่จะออกรายงาน เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง อย่างเร็วที่สุดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้
· การใช้จ่ายภาคครัวเรือนของญี่ปุ่นปรับตัวลดลงเร็วเกินคาดในเดือนธ.ค. ที่ระดับ -4.8% และถือเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 จากสัญญาณที่กลุ่มผู้บริโภคค่อนข้างใช้จ่ายอย่างยากลำดับในช่วงที่ภาษีการขายอยู่ในระดับที่สูงขึ้น จาก 8% เป็น 10% ขณะที่การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาดูจะเป็นภัยคุกคามใหม่ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก รวมไปถึงภาคการผลิตและการส่งออกของประเทศญี่ปุ่นด้วย
· ตลาดน้ำมันปิดปรับตัวสูงขึ้นหลังแหล่งข่าว 3 รายเปิดเผยว่า กลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตรส่งสัญญาณจะทำการปรับลดกำลังผลิตเพิ่มขึ้น 600,000 บาร์เรล/วัน เพื่อรับมือกับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาที่อาจกระทบต่ออุปสงค์พลังงาน แต่ทั้งนี้ก็ยังคงรอดูขอเสนอสุดท้ายจากทางรัสเซียอยู่
ซึ่งการผลิตน้ำมันดิบของโอเปกและชาติพันธมิตรนั้นคิดเป็นกำลังการผลิตน้ำมันโลกทั้งหมดร้อยละ 40 และการปรับลดครั้งใหม่อาจนำมาซึ่งการช่วยลดอุปทานน้ำมันลงได้อีก 0.6%
น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับลง 0.3% ที่ 55.05 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ WTI ปิดปรับขึ้น 20 เซนต์ หรือ +0.4% ที่ระดับ 50.95 เหรียญ/บาร์เรล