• ปฏิทินเศรษฐกิจ 5 ปัจจัยสำคัญประจำสัปดาห์

    11 กุมภาพันธ์ 2563 | Economic News


1. การระบาดของโคโรนาไวรัส

เมื่อวันอาทิตย์ผ่านมา ยอดผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสเพิ่มขึ้นอีก 89 ราย ทำให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตเฉพาะในประเทศจีนเพิ่มเป็น 811 ราย (813 ราย หากรวมทั่วโลก) ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าผู้เสียชีวิตจากโรคซาร์สเมื่อช่วงปี 2002 และ 2003 ตามข้อมูลขององค์กรอนามัยโลก (WHO)

เศรษฐกิจจีนที่กำลังชะลอตัวในปีนี้อยู่แล้ว จึงเผชิญแรงกดดันที่หนักหน่วงกว่าเดิมจากการระบาดของไวรัส โดยทาง Goldman Sachs ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในไตรมาสแรกลงสู่ระดับ 4% จากเดิม 5.6% และมองว่ามีแนวโน้มที่เศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ได้อีก



2. การรายงานตนของประธานเฟดต่อสภาคองเกรส

นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด มีกำหนดการขึ้นกล่าวแถลงการณ์ผลการดำเนินนโยบายการเงินประจำปีต่อคณะกรรมการด้านการธนาคารสหรัฐฯทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรภายในสัปดาห์นี้

โดยมีกำหนดจะรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรในคืนวันอังคาร เวลา 22.00 น. และ ต่อวุฒิสภาในคืนวันพุธ เวลา 22.00 น. เช่นเดียวกัน

ก่อนเริ่มถ้อยแถลง 90 นาที ทางสภาคองเกรสจะเปิดเผยเนื้อหาของถ้อยแถลงออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรสู่สาธารณะ

นายโพเวลล์มีแนวโน้มที่จะกล่าวสนับสนุนแนวคิดที่ว่าเฟดจะคงนโยบายตลอดปีนี้ ท่ามกลางตลาดแรงงานและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศที่แข็งแกร่ง



3. เงินเฟ้อสหรัฐฯ


กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯจะเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯภายในคืนวันพฤหัสบดี เวลา 20.30 น.

โดยดัชนีราคาผู้บริโภคถูกคาดว่าจะประกาศออกมาเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก่อน ซึ่งเท่ากับการขยายตัวในเดือน ธ.ค. หากเป็นไปตามคาดจะทำให้ภาพรวมดัชนีราคาผู้บริโภครายปีเพิ่มเป็น 2.5% จากเดิมที่ 2.3%

ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ถูกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก่อน และเพิ่มขึ้น 2.2% สำหรับภาพรวมรายปี

อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น จะเป็นปัจจัยผลักดันให้เฟดพิจารณากลับมาปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยด้วยอัตราที่เร็วกว่าที่คาดการณ์ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่ปรับลดลงจะทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดอาจพิจารณาชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย



4. ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯจะเปิดเผยยอดค้าปลีกของสหรัฐฯภายในคืนวันศุกร์ เวลา 20.30 น.

โดยคาดการณ์ส่วนใหญ่เชื่อว่ายอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก่อน หลังจากเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเดียวกันในเดือน ธ.ค. ในขณะที่ยอดค้าปลีกที่ไม่รวมกลุ่มยานพาหนะ ถูกคาดว่าจะขยายตัว 0.3%

ยอดค้าปลีกที่เพิ่มสูงขึ้น บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ ในขณะที่ยอดค้าปลีกที่ลดลงบ่งชี้ถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจ ขณะที่ภาคการบริโภคคิดเป็น 70% ของ GDP สหรัฐฯ



5. โค้งสุดท้ายของการรายงานผลประกอบการ

ช่วงสัปดาห์นี้จะเป็นสัปดาห์สุดท้ายของการรายงานผลประกอบการของภาคบริษัท

วันจันทร์: Allergan และ Loews

วันอังคาร: Lyft, UnderArmour, AutoNation, Hilton, Hasbro, Dominion Energy, และ Lattice Semiconductor

วันพุธ: CVS Health, Shopify, Cisco, Applied Materials, CyberArk, CME Group, Barrick Gold, Teva Pharma, และ MGM Resorts

วันพฤหัสบดี: Alibaba, Nvidia, Pepsico, Kraft Heinz, Roku, AIG, Expedia, Mattel, และ Wyndham Hotels

วันศุกร์: Canopy Growth และ Newell Brands



ที่มา: Investing.com, Reuters

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com