• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563

    12 กุมภาพันธ์ 2563 | Economic News

· การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา

การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสุดมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นประมาณ 94 ราย ส่งผลให้มียอดผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นแตะ 1,112 ราย ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นใกล้แตะ 45,000 ราย

ทั้งนี้ ไวรัสโคโรนาหรือชื่อ COVID-19 ได้มีการแพร่ระบาดไปแล้วไม่น้อยกว่า 26 ประเทศทั่วโลก



- ผู้อำนวยการจาก WTO ระบุถึงยอดผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่ปรับตัวสูงขึ้น และมีการเรียกร้องให้หลายๆประเทศร่วมมือกันหาวิธีจัดการกับการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว ซึ่งทาง WHO มีการจัดประชุมที่กรุงเจเนวา เพื่อประเมินสถานการณ์ของไวรัสโคโรนา

นอกจากนี้ ทาง WHO ก็ยังมองว่า ไวรัสโคโรนาอาจมีการพัฒนามากขึ้นตามลำดับและอาจอันตรายมากขึ้นกว่าเรื่องการก่อการร้าย ดังนั้น พวกเราจึงต้องใช้ทุกเครื่องมือทุกทางในปัจจุบันเพื่อจัดการกับการควบคุมและยับยั้งไวรัสโคโรนา และกล่าวเตือนว่าหากการดำเนินการเป็นไปด้วยความล้มเหลวก็อาจนำไปสู่จำนวนผู้เสียชีวิตและการติดเชื้อที่มากขึ้นในอนาคต

** ที่ปรึกษาทางการแพทย์ระดับสูงของจีนซึ่งมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้และยับยั้งโรคซาร์ส กล่าวว่า จำนวนผู้ติดเชื้อมีอัตราลดน้อยลง และคาดว่าระดับการแพร่ระบาดมากที่สุดจะเกิดขึ้นแค่ภายในเดือนนี้ พร้อมคาดหวังว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะสิ้นสุดลงภายในเดือนเม.ย.

- นายโรเบิร์ต โอเบรียน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำทำเนียบขาวสหรัฐฯ กล่าวกล่าวกับ CNN ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาจะสร้างผลกระทบต่อข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในจีนอาจส่งผลให้การเข้าซื้อสินค้าเกษตรของสหรัฐฯจากจีนในปีนี้ปรับตัวลงภายใต้ข้อตกลงการค้าเฟสแรก และทางรัฐบาลคาดหวังว่าข้อตกลงการค้าเฟสแรกจะอนุญาตให้จีนทำการนำเข้าสินค้าด้านอาหารเพิ่มมากขึ้น และเปิดตลาดให้แก่เกษตรกรสหรัฐฯ แต่ไวรัสโคโรนาก็ดูจะเป็นปัญหาใหญ่ที่สร้างผลกระทบในปีนี้แก่จีน รวมทั้งกำลังการเข้าซื้อด้วย

- กลุ่มผู้กำหนดนโยบายของจีนทำการร่างมาตรการสนับสนุนทางเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับผลกระทบจากปัญหาไวรัสโคโรนาที่จะส่งผลเสียต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรก โดยทางธนาคารกลางจีนกำลังพยายามฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุนและตลาดโลกจากความเป็นไปได้ที่ไวรัสดังกล่าวจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจจีน และเศรษฐกิจโลก

· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงจากระดับแข็งค่ามากที่สุดรอบ 4 เดือนเมื่อเทียบค่าเงินยูโร จากความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางดัชนี S&P500 และ Nasdaq ที่ทำ All-Time High ต่อเนื่องในช่วงเปิดตลาดตอบรับการที่ที่ปรึกษาทางการแพทย์ระดับสูงของจีนระบุว่า ไวรัสโคโรนาอาจมีจำนวนมากที่สุดภายในเดือนนี้และจะค่อยๆจบลงในเดือนเม.ย.

ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากไวรัสโคโรนาได้ช่วยให้ค่าเงินดอลาร์ถูกถือครองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ประกอบกับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแกร่งกว่าแถบยุโรป จึงทำให้ยูโรยังคงอยู่ในทิศทางอ่อนค่าและปรับตัวลงไปทำอ่อนค่ามากที่สุดตั้งแต่ 1 ต.ค. บริเวณ 1.0892 ดอลลาร์/ยูโร ก่อนจะรีบาวน์กลับมาแถว 1.0921 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ล่าสุดอยู่ที่ 98.721 จุด โดยลดลงจากสูงสุดในช่วงต้นตลาดวานนี้บริเวณ 98.8 จุด

· ถ้อยแถลงของนายเจอโรม โพเวลล์ ต่อคณะกรรมาธิการกำกับดูแลทางการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯก็ดูจะยังกล่าวย้ำมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ธนาคารกลางต่างๆยังไม่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้นๆ ท่ามกลางความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายทางการค้าที่ลดน้อยลง รวมทั้งการเติบโตทั่วโลกมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งถ้อยแถลงของประธานเฟดเป็นการส่งสัญญาณว่ายังไม่มีเหตุผลใดที่จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินนโยบายดอกเบี้ย เว้นแต่จะมีความคืบหน้าครั้งใหม่จากการประเมินทิศทางเมื่อเปรียบเทียบกับแนวโน้มในปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน นายโพเวลล์ก็มีการกล่าวเตือนถึงไวรัสโคโรนาในจีนที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯด้านสุขภาพในระยะยาวได้

· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาอาจลงนามข้อตกลงการค้าร่วมกับนายกฯอินเดียหากเป็นข้อตกลงที่เป็นไปอย่างถูกต้อง ซึ่งนายทรัมป์มีกำหนดการจะเดินทางเข้าพบผู้นำอินเดียในช่วงปลายเดือนนี้ โดยทั้งสองประเทศกำลังพยายามบรรลุข้อตกลงการค้าเพื่อลดภาษี แต่การเจรจาก็ดูจะยังมีปัญหาจากนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลและการควบคุมดูแลระบบ E-Commerce


· รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า อียูถูกคาดว่าจะขยายตลาดเปิดกว้างสู่เวียดนาม แต่ก็มีแนวโน้มที่กำลังจะปิดประตูการค้ากับทางกัมพูชา เพื่อเป็นรางวัลแด่ความคืบหน้าด้านการรักษาความปลอดภัยทางแรงงานและบทลงโทษสำหรับการละเมิดสิทธิมนุษยชน

น้ำมันดิบรีบาวน์ขึ้นจากระดับต่ำสุดรอบ 13 เดือน ท่ามกลางอัตราการชะลอตัวในกลุ่มผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา จึงช่วยบรรเทาความเป็นไปได้ที่จะเป็นอุปสรรคต่ออุปสงค์น้ำมัน ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงทางการแพทย์ของจีนคาดว่าการแพร่ระบาดครั้งหนักที่สุดจะเกิดขึ้นแค่ภายในเดือนนี้ และจะค่อยๆปรับตัวลง

น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 78 เซนต์ หรือ +1.4% ที่ 54.05 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่วันจันทร์ปิดทำต่ำสุดตั้งแต่ม.ค. ปี 2019 ด้าน WTI ปิดปรับขึ้น 37 เซนต์ หรือ +0.75% ที่ 49.94 เหรียญ/บาร์เรล



บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com