รายงานจาก Reuters ระบุว่าบรรดานักลงทุนเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ แม้การระบาดของไวรัสโคโรนาจะเป็นปัจจัยที่กดดันการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงก็ตาม
ตามข้อมูลจากสถาบัน Lipper มีเม็ดเงินลงทุนมูลค่าเกือบ 730 ล้านเหรียญ ไหลกลับเข้าสู่กองทุน ETFs ที่ลงทุนตลาดเกิดใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นตลอดช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ตลาดหุ้นต่างพากันปรับลดลงอย่างหนักจากความกังวลปัญหาการระบาดของไวรัส
ก่อนที่จะเกิดการระบาดของไวรัส บรรดาหุ้นของตลาดเกิดใหม่ต่างปรับสูงขึ้นได้อย่างมั่นคงนับตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค. เนื่องจากบรรดานักวิเคราะห์คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้งภายในปีนี้ โดยเฉพาะหลังจากที่สหรัฐฯและจีนสามารถลงนามข้อตกลงในเฟสแรกกันได้
ตามข้อมูลของ Lipper บรรดากองทุน ETFs ของตลาดเกิดใหม่ได้มีกระแสเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่องและมั่นคงนับตั้งแต่เดือน ต.ค. และไม่มีรายงานเกี่ยวกับกระแสเม็ดเงินไหลออกในภาพรายเดือนนับตังแต่เดือนดังกล่าวเป็นต้นมา
ผู้บริหารสถาบัน Per Stirling Capital Management มองว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นที่น่าสนใจมาก เนื่องจากทางสถาบันฯมองว่านี่เป็นสัญญาณของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก โดยเมื่อปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาได้รับการคลี่คลาย เชื่อว่าการลงทุนในตลาดเกิดใหม่จะกลับคึกคักอีกครั้ง
สถาบันทางการเงินรายใหญ่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น BlackRock, JPMorgan และ UBS Global Wealth Management ต่างมีมุมมองในเชิงบวกของตลาดเกิดใหม่ในป 2020 ด้วยกันทั้งสิ้น แม้จะอันดับสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ให้อยู่ต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯมานานกว่าทศวรรษก็ตาม
ผู้บริหารสถาบัน Tallbacken Capital Advisors ระบุว่าหุ้นของตลาดเกิดใหม่มีความคงทนในระดับสูง เนื่องจากตลาดเหล่านี้ถูกจัดให้มีอันดับต่ำมาโดยตลอด และตลาดเหล่านี้มักจะเผชิญแรงเทขายที่ไม่หนักมาก เนื่องจากมีปริมาณการถือครองที่ค่อนข้างต่ำ
ทั้งนี้ ผลกระทบของการระบาดของไวรัสโคโรนาต่อเศรษฐกิจยังมีสามารถประเมินได้อย่างชัดเจน โดยนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า อัตราเติบโตของ GDP จีนในปีนี้อาจชะลอตัวลงไปอยู่ในช่วง 4 – 5% จากคาดการณ์เดิมที่ 6% ของทั้งสถาบันทางการเงินและรัฐบาลจีนเอง
ที่มา: Reuters