· ค่าเงินดอลลาร์ถูกเข้าซื้อในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดเอเชียวันนี้ หลังจากที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าอย่างมาก ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับฐานะ Safe-haven ของค่าเงินเยน และหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยที่เป็นของชาติฝั่งตะวันตกมากขึ้น
ถึงแม้จีนจะรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายใหม่ออกมาลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า แต่บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างกังวลว่า เชื้อไวรัสอาจระบาดออกไปเป็นวงกว้างและง่ายดายขึ้น หลังมีรายงานผู้สูงอายุจำนวน 2 รายจากเรือ Diamond Princess ซึ่งกำลังถูกกักบริเวณอยู่ในโตเกียว เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัส
รายงานจากดังกล่าว ส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์มากที่สุดในรอบ 6 เดือน โดยค่าเงินเยนอ่อนค่าลงมาแถว 111.38 เยน/ดอลลาร์ Break ระดับสำคัญที่ 110.30 เยน/ดอลลาร์ ที่เป็นแนวต้านตั้งแต่เดือน พ.ย.
ด้านค่าเงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยนแถว 120.21 เยน/ยูโรหลังจากแข็งค่าขึ้นมากว่า 1.5% เมื่อคืนนี้ แต่เมื่อเทียบกับดอลลาร์ยังทรงตัวในแดนอ่อนค่าแถว 1.0798 ดอลลาร์/ยูโร
เนื่องจากกระแสที่นักลงทุนหันเข้าหาสินทรัพย์ของชาติฝั่งตะวันตก ทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่า 0.3% เมื่อเทียบกับดอลลาร์แถว 7.0215 หยวน/ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าทำระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี ที่ 0.6630 ดอลลาร์
· EUR/USD Forecast: มีความเสี่ยงอ่อนค่าต่อ แม้อยู่ในภาวะ “Extremely Oversold”
ค่าเงินยูโรเมื่อวานนี้เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆแถว 1.0800 ดอลลาร์/ยูโร แต่ยังคงอยู่ในแนวโน้มทิศทางขาลงระยะยาวโดยมีเป้าหมายถัดไปที่ 1.0781 ดอลลาร์/ยูโร โดยปัจจัยที่กดดันค่าเงินยูโรยังคงเป็นความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโคโรนา ที่ถึงแม้จะมีสัญญาณชะลอตัวของการระบาดบ้าง แต่ตลาดยังให้ความสนใจไปยังสินทรัพย์ที่เป็น Safe-haven อย่างทองคำหรือดอลลาร์มากกว่า
EUR/USD short-term technical outlook
ค่าเงินยูโรทรงตัวแถวระดับ 1.0790 ดอลลาร์/ยูโร ในช่วงเปิดตลาดเอเชียเช้านี้ โดยยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในทิศทางขาลงตามที่เห็นได้จากกราฟราย 4 ช.ม. และอยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยราย 20 วัน ขณะที่เครื่องมือชี้วัดทิศทางยังคงเคลื่อนไหวแดนลบ และ RSI ทรงตัวแบบสะสมพลังในแดน Oversold บ่งชี้ว่าค่าเงินยูโรกำลังอยู่ภาวะ Extremely Oversold แต่ยังคงไร้สัญญาณของการกลับตัวในระยะสั้น แม้โอกาสที่จะค่าเงินจะกลับตัวขึ้นได้จะยังไม่เป็น 0 ซะทีเดียว แต่หากค่าเงินอ่อนค่าหลุด 1.0770 ดอลลาร์/ยูโร ก็จะมีทิศทางอ่อนค่าลงต่อ
แนวรับ: 1.0770 1.0725 1.0690
แนวต้าน: 1.0840 1.0885 1.0910
· รายงานจาก CNN ระบุว่า มียอดผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่ม โดยล่าสุดอยู่ที่ 2,128 ราย ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อ ณ ปัจจุบันทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 75,674 ราย
· โพลสำรวจ Reuters คาดสหรัฐฯเลี่ยงผลกระทบจากไวรัสโคโรนาได้
โพลสำรวจโดย Reuters เปิดเผยว่าบรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะสามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่มาจากการระบาดของไวรัสโคโรนาได้ หรือผลกระทบของมันจะเกิดขึ้นในระยะสั้นและรับมือได้ไม่ลำบากนัก อย่างไรก็ตาม ภาพรวมปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นๆสำหรับสหรัฐฯก็ค่อนข้างที่จะชี้ไปในเชิงลบ
ทั้งนี้ การระบาดของไวรัสอาจกดดันหรือเพิ่มโอกาสที่จะทำให้จีนไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงที่ลงนามร่วมกับสหรัฐฯเมื่อวันที่ 15 ม.ค. ได้ จึงมีความเสี่ยงที่อาจทำให้ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศประทุขึ้นมาอีกครั้ง
สำหรับคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มองว่าเศรษฐกิจจะชะลอการเติบโตลงเพียง 0.1% ที่ระดับ 1.5% สำหรับไตรมาสที่ 1/2020 นี้ และหลังจากนั้นคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตเฉลี่ยได้ 1.8 – 2.0% ไปจนถึงสิ้นปี 2021
· รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ชะลอตัวลงมากที่สุด หลังจีนเปลี่ยนวีธีรายงานยอด
รัฐบาลจีนมีการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายใหม่ด้วยอัตราที่ต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ม.ค. ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากการเปลี่ยนการคัดแยกประเภทโรคสำหรับผู้ป่วยในมณฑลอู่ฮั่นที่เป็นจุดศูนย์กลางของการระบาด
จีนรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ออกมาเพิ่มขึ้น 394 รายเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงอย่างมากจากวันก่อนหน้าที่ระดับ 1,749 ราย ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อรวมล่าสุดอยู่ที่ 74,576 ราย
เดิมที ภาครัฐใช้การตรวจคัดกรองโรคผู้ป่วยด้วยการตรวจแบบ Nucleic Acid Tests แต่กระบวนนี้ใช้เวลาหลายวันจนกว่าจะทราบผลลัพธ์
ดังนั้น เมื่อสัปดาห์ก่อน จีนจึงได้เปลี่ยนมาใช้การตรวจแบบ Computerized Tomography หรือ CT Scan ที่ใช้รังสี X-Ray เพื่อตรวจสอบการติดเชื้อในปอดและยืนยันการติดเชื้อไวรัส
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จำนวนผู้ติดเชื้อจึงพุ่งสูงขึ้นถึง 15,000 ราย เมื่อวันที่ 12 ก.พ. ที่ผ่านมา ก่อให้เกิดเป็นความกลัวว่าไวรัสกำลังระบาดออกไปรวดเร็วกว่าเดิม
แต่ล่าสุด ทางรัฐบาลจีนออกมารายงานว่าพวกเขาได้นำการจำนวนผู้ติดเชื้อที่ได้รับการตรวจแบบ CT Scan ออกจากการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ทำให้ผู้ติดเชื้อจำนวน 279 รายถูกนำออกจากรายงานยอดผู้ติดเชื้อ
ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อจากมหาวิทยาลัย Monash ระบุว่าเขาไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลจีนต้องมีการเพิ่มหรือลดจำนวนผู้ติดเชื้อที่ได้รับการตรวจสอบด้วยวิธีการหรือช่วงเวลาที่แตกต่างออกไปจากการรายงานยอดรวมด้วย สิ่งที่ควรทำคือการแก้ไขยอดผู้ติดเชื้อลงไปในวันที่การติดเชื้อได้รับการยืนยัน ซึ่งนั่นเป็นปัญหาที่ทำให้เราเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในวันที่ 12 ก.พ.
· ศูนย์ควบคุมแลป้องกันโรคติดต่อของเกาหลีใต้ ออกรายงานยืนยันการพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่ม 31 ราย รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 82 รายในประเทศ โดยหนึ่งในนั้นถูกพบที่กรุงโซล และที่เหลือกระจายตามเมืองต่างๆ
· ภาวะการขยายเวลาปิดทำการในจีนท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาดูจะสร้างความผันผวนต่อเศรษฐกิจจีน รวมทั้งทำให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิตชะลอตัว ควบคู่กับการที่กลุ่มผู้บริโภคยุติแผนการเดินทาง, การจช้อปปิ้งและการรับประทานอาหารนอกบ้านด้วยเช่นกัน
ขณะที่บรรดานักวิเคราะห์มองว่า ความคืบหน้าในการกลับมาเปิดทำการยังคงเป็นไปอย่างชะลอตัว ด้าน S&P Global และ Morgan Stanley มองว่า การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นน่าจะส่งผลต่อการอุปโภคบริโภคในระยะสั้นๆเท่านั้น แต่ก็จะส่งผลต่อเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยอยู่ดี
ทั้งนี้ S&P Global ระบุว่า กลุ่มร้านอาหารในจีนมีแนวโน้มจะมียอดขายดิ่งลงในช่วงไตรมาสแรก โดยมองว่ามีโอกาสปรับตกลงถึง 45 - 50% ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยังถูกกักตัวให้อยู่แต่ในบริเวณบ้าน
Morgan Stanley ระบุว่า คาสิโนในช่วง 2 สัปดาห์ที่ปิดทำการสำหรับมาเก๊า มีแนวโน้มจะได้รับความเสียหายโดยคาดจะมีรายได้ลดลง 50% ในช่วงไตรมาสแรกเช่นกัน ก่อนที่มาตรการด้านดอกเบี้ย ภาษี และค่าเงินจะช่วยสนับสนุนภาคบริษัทต่างๆ
ภาคการท่องเที่ยวนั้น S&P Global มองว่าจะเติบโตได้เพียง 16% ในช่วงไตรมาสแรก
· แฟรงค์ เลวิน CEO แห่งสถาบัน Export Now และอดีตเอกอัคราชทูตสหรัฐฯประจำสิงคโปร์ มีมุมมองว่าแม้การระบาดของไวรัส COVID-19 จะทำให้ดูเหมือนเศรษฐกิจจีนแทบจะหยุดนิ่ง แต่นักลงทุนควรเริ่มวางแผนการลงทุนในตลาดจีนสำหรับอนาคต เนื่องจาก “จีนก็ยังคงเป็นจีน เศรษฐกิจก็ยังคงเป็นเศรษฐกิจ และผู้บริโภคก็จะบริโภคต่อไป”
นอกจากนี้ แม้อัตราเติบโตของ GDP จีนปีนี้มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส แต่เขามองว่าจะยังเป็นอัตราการเติบโตที่สดใสทีเดียว โดย GDP จีนในปี 2019 เติบโตได้ 6.1%
ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่ข่าวร้ายเกี่ยวกับไวรัสจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายสัปดาห์ข้างหน้า แต่ก็เชื่อว่ารัฐบาลจีนเริ่มที่จะควบคุมสถานการณ์ได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
· ธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มเติมในวันนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าทำไปเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสในประเทศ
โดยธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 1 ปีลงจาก 4.15% สู่ระดับ 4.05% และระยะ 5 ปีลงจาก 4.80% สู่ระดับ 4.75% ซึ่งนับเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในส่วนนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือน ต.ค. ปีที่แล้ว
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นต่อในวันนี้ ท่ามกลางตลาดที่ให้ความสนใจกับอุปสรรคทางด้านอุปทานน้ำมัน ขณะที่นักลงทุนคลายความกังวลกับภาวะอุปสงค์น้ำมัน หลังมีรายงานอัตราการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาชะลอตัวลง
นอกจากนี้ ปัญหาขัดแย้งของลิเบียที่นำมาสู่การปิดท่าเรือและโรงกลั่นน้ำมันก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะแก้ไขปัญหาได้ ขณะที่สหรัฐฯมีการคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซีย ได้แก่ Rosneft ที่อาจนำไปสู่การตัดปริมาณน้ำมันดิบของเวเนซูเอลาออกจากตลาด และลดความกังวลเรื่องภาวะอุปทานน้ำมันตลาดโลก
ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 14 เซนต์ หรือ +0.2% ที่ 59.26 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ช่วงต้นตลาดทำสูงสุดบริเวณ 59.71 เหรียญ/บาร์เรล ในส่วนของราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 25 เซนต์ หรือ +0.5% ที่ 53.54 เหรียญ/บาร์เรล