ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง ท่ามกลางจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่มขึ้นเหมือนดอกเห็ด หรือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งในประเทศอิตาลี, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ท่ามกลางการขยายมาตรการการแบนการท่องเที่ยวจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่กำลังเกิดขึ้น
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็กำลังเผชิญกับภัยคุกคามมากขึ้นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ, ความผันผวนในตลาด และการเลือกตั้งในปีนี้ และทั้งหมดนี้อาจกลายมาเป็นข้อกล่าวหาต่อทีมบริหารนายทรัมป์ได้ หากการบริหารจัดการภายใต้การดำเนินงานเป็นไปอย่างผิดพลาด เพราะทั้งหมดจะส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนภายในประเทศ
นายสตีเฟน มูร์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของทีมบริหารนายทรัมป์ กล่าวว่า มุมมองต่อทำเนียบขาวถือเป็นหนึ่งในภาวะ Black Swan ที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น เราจึงทำทุกอย่างที่จะสามารถควบคุมเรื่องสาธารณสุขในสหรัฐฯ ขณะที่ที่ปรึกษาต่างๆ และพันธมิตรด้านการดำเนินงานของนายทรัมป์ ดูจะมีความกังวลต่อการรับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนามากขึ้นที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯได้ แม้แต่นาย โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ เองก็ยังแสดงความคาดหวังว่าทางทำเนียบขาวจะไม่เป็นการรับมือที่ผิดวิธีจนส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลก ที่จะสร้างความเสี่ยงให้แก่การกลับมาลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของนายทรัมป์
ขณะที่นายทรัมป์ยกเลิกทริปเดินทางมายังอินเดียท่ามกลางปัญหาไวรัสดังกล่าว พร้อมกับมีการทวิตเตอร์ข้อความว่า
สหรัฐฯสามารถควบคุมไวรัสดังกล่าวได้ โดยสหรัฐฯมีการติดต่อกับทุกๆคนและทุกประเทศ รวมทั้งทาง CDC และ WHO ต่างก็ร่วมมือกันทำงานอย่างหนัก และชาญฉลาด ดังนั้น ตลาดหุ้นน่าจะค่อยๆเริ่มต้นฟื้นสำหรับฉัน
แต่ภายในทำเนียบขาวเองนั้น เจ้าหน้าที่หลายคนกำลังศึกษารูปแบบความเป็นไปได้ของผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสที่เกิดขึ้นทั้งต่อสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลก โดยหนึ่งในสมาชิกพรรครีพับลิกัน ที่ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวบางรายเผยว่า ทางภาคส่วนเองก็มีความกังวลที่ว่า
การแพร่ระบาดของไวรัสนั้นจะเข้ากระทบกับภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ได้ก่ ภาคการผลิต, สายการบิน, กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ และบริษัทด้านเทคโนโลยี จึงอาจทำให้สภาพเศรษฐกิจของทั้งสหรัฐฯและจีนนั้นมีแนวโน้มชะลอตัวได้ ซึ่งทางทำเนียบขาวพยายามที่จะจำกัดผลกระทบต่อเศรษฐกิจรวมทั้งการรับมือเพื่อจัดการ