· ดัชนีดาวโจนส์มีแนวโน้มเปิดลบกว่า 300 จุด หลังพบการติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่ไม่ทราบที่มาชัดเจน
ดัชน์ฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะเปิดตลาดคืนนี้ในแดนลบ แม้ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะพยายามสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนก็ตาม
โดยดัชนีฟิวเจอร์สปรับร่วงลงหลังจากที่ หน่วยงาน CDC ของสหรัฐฯยืนยันความเสี่ยงที่อาจเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในระดับชุมชนเป็นครั้งแรก หลังจากพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เป็นชาวแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีประวัติการเดินทางที่ไม่ชัดเจน
โดยในช่วงสายวันนี้ ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สปรับลดลง 327 จุด สะท้อนโอกาสที่ดัชนีดาวโจนส์คืนนี้จะเปิดลบ 348.59 จุด ขณะที่ดัชนีฟิวเจอร์ส S&P 500 และ Nasdaq 100 ต่างเคลื่อนไหวแดนลบเช่นกัน
· ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวผสมผสานกันในวันนี้ เนื่องจากเหล่านักลงทุนที่ยังคงกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโคโรน่าที่ส่งผลให้มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากกว่า 81,000 ราย และยอดผู้เสียชีวิตกว่า 2,700 ราย
โดยผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จากประเทศจีน อย่างไรก็ดี จำนวนผู้ป่วยนอกประเทศพุ่งสูงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ต่าง ๆ เช่นเกาหลีใต้ อิตาลีและอิหร่าน จึงส่งผลให้เกิดแรงเทขายทั่วโลก
· ด้านตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลดลง โดยดัชนี Nikkei ลดลง 2.13% ที่ระดับ 21,948.23 จุด ขณะที่ดัชนี Topix ลดลง 2.37% ที่ระดับ 1,568.06 จุด สำหรับค่าเงินเยนของญี่ปุ่นซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมีการซื้อขายที่ระดับ 110.13 ดอลลาร์/เยน โดยแข็งค่าขึ้นจากระดับที่สูงกว่า 111.00 ดอลลาร์/เยน ในช่วงต้นสัปดาห์
ทางด้านดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้ ร่วงลง 1.05% ที่ระดับ 2,054.89 เนื่องจากธนาคารกลางเกาหลีใต้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งสวนทางกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าธนาคารกลางเกาหลีใต้จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ท่ามกลางแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ภายในประเทศ
· ตลาดหุ้นจีนปรับตัวสูวขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากรายงานผู้เสียชีวิตลดน้อยลงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาและส่งสัญญาณการสนับสนุนเพิ่มเติมเพื่อหนุนเศรษฐกิจในประเทศ
แม้ว่าจะมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการแพร่กระจายของไวรัสทั่วโลก โดยดัชนี Shanghai Composite index เพิ่มขึ้น 0.1% ที่ระดับ 2,991.33 จุด
· ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลง เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนายังคงกดดันความเชื่อมั่นของเหล่านักลงทุน โดยดัชนี Stoxx600 ลดลง 1.7% ด้านหุ้นทรัพยากรและการท่องเที่ยวลดลง 2.5% ท่ามกลางตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่ที่เคลื่อนไหวในแดนลบ
อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
นายณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ ประธานบริหารกลุ่มบริษัทในเครือ MTS Gold แม่ทองสุก กล่าวถึงแนวโน้มราคาทองคำในปีนี้ว่า ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีการทำนิวไฮในรอบ 7 ปีแล้วก็ตาม โดยมีกรอบแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 1,700-1,750 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ถือเป็นระดับเป้าหมายสำคัญต่อไปของทองคำ จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน ประกอบกับการแพร่ระบาดของไข้หวัดโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่ยังควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ และมีแนวโน้มแพร่ระบาดในระดับรุนแรงขึ้น
ขณะที่ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยและความผันผวนน้อยกว่าการลงทุนประเภทอื่น และจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ต้นปี 63 ราคาทองคำต่างประเทศปรับขึ้นมาแล้วกว่า 10% ขณะที่ราคาทองคำในประเทศก็ปรับขึ้นมาแล้วกว่า 19.37% ทำให้ราคาทองคำในประเทศมีโอกาสยืนเหนือ 25,000-27,000 บาท/บาททองคำได้อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับเงินบาทที่ยังคงอ่อนค่าในเวลานี้