สถานการณ์ไวรัสโคโรนา
จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 95,488 ราย
จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 3,286 ราย
จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 84 ประเทศ
· ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในจีนพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะในอู่ฮั่น
จีนแผ่นดินใหญ่รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายใหม่ออกมาเพิ่มสูงขึ้น 139 ราย หลังจากยอดดังกล่าวชะลอตัวลงเมื่อ 3 วันที่ผ่านมา โดยยอดเมื่อวานออกมาที่ 119 ราย และเมื่อวานซืนที่ 125 ราย เนื่องจากการติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นในเมืองอู่ฮั่นที่เป็นศูนย์กลางของการระบาด
ยอดรวมผู้ติดเชื้อในประเทศจีนเพิ่มเป็น 80,409 ราย
เฉพาะในเมืองอู่ฮั่น จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 131 ราย เทียบกับเมือวานที่ 114 ราย ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวกับข้องยังไม่ได้ให้คำอธิบายว่าทำไมจำนวนผู้ติดเชื้อถึงเพิ่มสูงขึ้น
· รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศให้เมืองคย็องซัง (Gyeongsan) เป็น “พื้นที่ดูแลพิเศษ“ (Special care zone) แห่งที่ 2 เนื่องจากการระบาดอย่างหนักของไวรัสโคโรนา ขณะที่กองทัพสหรัฐฯยืนยันผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของกองทัพที่ประจำอยู่ในเกาหลีใต้ 2 ราย
ทั้งนี้ เมืองคย็องซังตั้งอยู่ห่างจากกรุงโซลประมาณ 250 กิโลเมตรไปทางตะวันออกเฉียงใต้ มีประชากรประมาณ 275,000 คน ซึ่งทางรัฐบาลจะทำการจัดส่งอุปกรณ์ป้องกันอย่างหน้ากากอนามัยไปให้ รวมถึงเตือนให้หลักเลี่ยงการเดินทางไปยังเมืองนี้
· อิตาลีประกาศปิดโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทุกแห่ง รวมถึงใช้มาตรการฉุกเฉินเพื่อชะลอการระบาดของโคโรนาไวรัสในประเทศ ซึ่งอิตาลีที่มีสถานการณ์การระบาดของไวรัสเลวร้ายที่สุดในทวีปยุโรป
ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตในอิตาลีเพิ่มขึ้น 28 ราย ทำให้ยอดรวมเพิ่มขึ้นเป็น 107 ราย ภายในระยะเวลา 24 ช.ม. ที่ผ่านมา
รองรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจแห่งอิตาลีเผย รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจเป็นมูลค่า 5 พันล้านยูโร (5.57 พันล้านเหรียญ) เพื่อรองรับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา
· รายงานจากหนังสือพิมพ์ Yomiuri ระบุว่ารัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาออกมาตรการกักบริเวณผู้ที่เดินทางมาจากจีนและเกาหลีใต้ทั้งหมดเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้ประกาศระงับวีซ่าของผู้ที่เดินทางมาจากทั้ง 2 ประเทศไปก่อนหน้านี้แล้ว ขณะที่นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น จะมีการหารือกับรัฐบาลเกี่ยวกับมาตรการควบคุมไวรัสเพิ่มเติมภายในวันพฤหัสบดีนี้
ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นยังคงยืนกรานว่า การจัดงานกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนที่มีกำหนดการไว้ในเดือน ก.ค. จะยังคงดำเนินต่อไป
· กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจโควิด-19 ในประเทศไทยเพิ่มอีก 4 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศอิตาลีและอิหร่าน ซึ่งสถานการณ์การระบาดมีความรุนแรง ทำให้จำนวนผู้ป่วยสะสมในไทยเพิ่มเป็น 47 คน
· ค่าเงินดอลลาร์ฟื้นตัวได้เพียงเล็กน้อย ท่ามกลางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับการผ่อนคลายนโยบายจากเฟด ขณะที่ความกังวลไวรัสโคโรนาเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินเยนที่เป็น Safe-haven
ทั้งนี้ ค่าเงินดอลลาร์ฟื้นตัวขึ้นได้หลังการประกาศตัวเลขกิจกรรมภาคการบริการสหรัฐฯออกมาอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ที่เคลื่อนไหวใกล้ระดับ 1% เป็นปัจจัยกดดันค่าเงินดอลลาร์ไม่ให้ฟื้นตัวไปมากกว่านี้เมื่อเทียบกับเงินยูโร ค่าเงินยูโรจึงค่อนข้างทรงตัวแถว 1.1136 ดอลลาร์/ยูโร
ค่าเงินดอลลาร์ยังมีแรงหนุนมาจากการที่นายโจ ไบเดน สามารถทำคะแนนความนิยมนำคู่แข่งคนอื่นๆจากพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งตัวแทนพรรคภายในรัฐสำคัญของสหรัฐฯเมื่อวานนี้
ซึ่งตลาดมองว่านายไบเดนเป็นตัวแทนที่เป็นมิตรกับเศรษฐกิจ เนื่องจากมีแนวโน้มที่เขาจะไม่ปรับขึ้นภาษีหรือออกมาตรการใหม่ที่จะมาควบคุมการดำเนินธุรกิจ เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างนายเบอร์นีย์ แซนเดอร์ส
ความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโคโรนา ทำให้ตลาดหันเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินเยนแข็งค่า 0.2% แถว 107.33 เยน/ดอลลาร์
ค่าเงินปอนด์ทรงตัวในแดนบวกแถว 1.2873 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากเมื่อวานที่ว่าที่ผู้นำบีโออีออกมากล่าวว่าเขาจะรอความชัดเจนของสถานการณ์ไวรัสก่อนที่จะเริ่มพิจารณาเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย มากกว่าที่จะเร่งปรับลดดอกเบี้ยแบบฉุกเฉิน
· Westpac คาดเฟดปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ภายในเดือน มิ.ย.
สถาบัน Westpac คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลง 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในเดือน มี.ค. เม.ย. และ มิ.ย. โดยคาดการณ์นี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะชะลอการเติบโตลงต่ำกว่าเทรน หรือประมาณ 1.5% สำหรับปี 2020 เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงจากระดับ 3% ในปี 2019 ลงสู่ระดับ 2% ในปี 2020
· Apple, Microsoft, Google เล็งย้ายฐานการผลิตออกจากจีน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย
เนื่องด้วยสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนเมื่อปีก่อน และยังมีการระบาดของไวรัสโคโรนาในประเทศจีน บริษัทรายใหญ่ในสหรัฐฯจึงเริ่มพิจาณาย้ายฐานการผลิตของจากจีน โดยเฉพาะผู้นำทางด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple, Microsoft และ Google
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก AArete มีมุมมองว่า การดำเนินการเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะสามารถทำได้ เนื่องจากความจำเป็นต้องพึ่งพาเศรษฐกิจจีนได้ฝังรากลึกลงไปในสหรัฐฯมากแล้ว
จับตาไปยังเวียดนาม ไทย
รายงานจาก Nikkei Asian Review ระบุว่าทาง Google และ Microsoft ได้เร่งกระบวนโยกย้ายฐานการผลิจไปยังประเทศในแถบเอเชีย
แต่ปัญหาของการดำเนินคือ ความยากลำบากภายในประเทศเหล่านี้หากทำการโยกย้ายฐานการผลิตเร็วเกินไป และจีนก็ยังต้องมีบทบาทสำคัญต่อไป หมายความว่าการควบคุมความเสี่ยงก็จะเป็นไปได้อย่างไม่ค่อยราบรื่นนัก
ทั้งนี้ Nikkei รายงานข่าวลือที่ว่า Google กำลังจะเริ่มกระบวนการผลิตสมาร์ทโฟนต้นทุนต่ำในเวียดนาม ที่อาจมีชื่อรุ่นว่า Pixel 4a นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเริ่มกระบวนการผลิตสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงตัวใหม่ภายในครึ่งหลังของปีนี้ด้วยเช่นกัน
ทาง Google ยังได้เรียกร้องให้พาร์ทเนอร์ทางอุตสาหกรรมในประเทศไทยเตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตอุปกรณ์อัจฉริยะที่ใช้ภายในครัวเรือน (Smart home products) อย่างลำโพงผู้ช่วยอัจฉริยะ ขณะที่ทาง Microsoft มีแผนที่จะเริ่มกระบวนการผลิตคอมพิวเตอร์ทั้งแบบตั้งโต๊ะและพกพารุ่นใหม่ในประเทศเวียดนาม ภายในช่วง Q2/2020 นี้
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นกว่า 1% ในวันนี้ก่อนที่จะมีการประชุมโอเปกซึ่งคาดว่าซาอุดิอาระเบียจะผลักดันกลุ่มและพันธมิตรรวมถึงรัสเซียเพื่อตกลงลดกำลังการผลิตเพื่อพยุงตลาด
นอกจากนี้ราคายังได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาดของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ จึงช่วยบรรเทาความกังวลของตลาดที่มีต่อภาวะอุปทานล้นตลาดในสหรัฐฯไปได้
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 67 เซนต์ หรือ 1.3% แถว 51.80 เหรียญ/บาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 55 เซนต์ หรือ 1.2% แถว 47.33 เหรียญ/บาร์เรล
· CRUDE OIL FORECAST: ตลาดจับตาประชุมโอเปก คาดประกาศลดกำลังการผลิตท่ามกลางปัญหาไวรัส
บทวิเคราะห์จาก Daily FX ระบุว่า ราคาน้ำมัน WTI กำลังเคลื่อนไหวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน ท่ามกลางแรงกดดันจากการระบาดของไวรัสโคโรนา และความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ดูผ่อนคลายลง
ราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวขึ้นได้จากการประชุมโอเปกวันนี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการประกาศเกี่ยวกับการปรับลดกำลังการผลิตลงอีก รวมถึงยังมีแรงหนุนจากการที่บรรดาธนาคารกลางทั่วโลกน่าจะหันมาใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ซบเซาลงจากปัญหาไวรัส
ในเชิงเทคนิค ราคาน้ำมัน WTI มีแนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 45.00 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งยังอยู่ใกล้ระดับเส้นเทรนระยะยาวตั้งแต่ ส.ค. 2016 จนถึง ธ.ค. 2018
แม้การประชุมโอเปกอาจเป็นปัจจัยที่หนุนราคาน้ำมันในวันนี้ได้ แต่ราคาจะเผชิญแนวต้านสำคัญที่ระดับ 50.00 เหรียญ/บาร์เรล ที่อาจจะกันไม่ให้ราคาปรับสูงขึ้นไปมากกว่านี้ได้ แต่ถ้าผ่านไปได้ จะมีแนวต้านถัดไปที่ระดับ 52.50 เหรียญ/บาร์เรล
อย่างไรก็ตาม เกิดสัญญาณ Bearish death-cross เนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยราย 50 วัน ตัดต่ำกว่าราย 200 วัน จึงอาจเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าทิศทางหลักของราคาน้ำมันจะยังคงเป็นขาลงต่อไปได้