เมื่อสัปดาห์ก่อน ทั้งเฟดและคองเกรสต่างมีการออกมาตรการเพื่อรับมือกับการระบาดของโคโรนาไวรัส ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดดอกเบี้ยฉุกเฉิน หรือการออกงบประมาณมูลค่า 8.3 พันล้านเหรียญสำหรับการพัฒนาวัคซีน
แต่สิ่งที่ยากลำบากสำหรับสหรัฐฯจริงๆคือต่อจากนี้
ท่ามกลางจำนวนผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัสทั่วโลกที่พุ่งสูงกว่า 100,000 ราย ได้ส่งผลกระทบให้ภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกได้หยุดชะงักลง ย่านเศรษฐกิจสำคัญเริ่มเงียบเหงา และสถาบันการศึกษาจำเป็นต้องหยุดการเรียนการสอน ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯสูญเสียเม็ดเงินไปมากถึง 4 ล้านล้านเหรียญ ทำให้นักวิเคราะห์มองว่าโอกาสที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยมีสูงยิ่งขึ้น
ความเสี่ยงดังกล่าวยังส่งผลกระทบไปยังโอกาสในการดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สองของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อาศัยความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นจุดเด่นในการหาเสียง ขณะที่ทีมบริหารของเขาเริ่มส่งสัญญาณว่าอาจมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจทำให้รับบาลสหรัฐฯมียอดขาดดุลหนักยิ่งไปกว่าเดิม
นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับความแตกแยกของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยผลสำรวจ Reuters/Ipsos ชี้ให้เห็นว่าคองเกรสใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับกระบวนการไต่สวนนายทรัมป์ ขณะที่ทางฝั่งเดโมแครตดูจะมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของโคโรนาไวรัสมากกว่าฝั่งรีพับลิกันเป็นเท่าตัว
อดีตตัวแทนของพรรคเดโมแครตที่มีส่วนร่วมในการเจรจาเมื่อปี 2008 และ 2009 มองว่า ปัจจัยดังกล่าวอาจกดดันให้การทำงานร่วมกันระหว่างเดโมแครตและรีพับลิกันภายในสภาคองเกรสเป็นไปได้อย่างยากลำบากยิ่งขึ้นได้ เนื่องจากบรรยากาศภายในสภากำลังเต็มไปด้วย “ความไม่เชื่อใจกัน” และเป็นที่เรื่องยากที่จะสามารถแก้ไขได้
ที่มา: Reuters