• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 9 มีนาคม 2563

    9 มีนาคม 2563 | Economic News

· สถานการณ์ไวรัสโคโรนาล่าสุด!

Ø จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 110,110 ราย

Ø จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 3,831 ราย

Ø รักษาหายแล้ว 62,356 ราย

Ø จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 109 ประเทศ

· อู่ฮั่นปิดโรงพยาบาลชั่วคราวลง 11 แห่ง เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยเริ่มชะลอตัว

จีนรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัสรายใหม่ออกมาเพิ่มขึ้น 40 ราย และผู้เสียชีวิตเพิ่ม 22 ราย สำหรับวันอาทิตย์ที่ 8 มี.ค. ที่ผ่านมา ทำให้ยอดรวดผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 80,735 ราย และเสียชีวิตรวม 3,119 ราย

เนื่องด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ลดน้อยลง รวมถึงผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับการรักษาหายและออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว รัฐบาลจีนจึงได้ประกาศปิดโรงพยาบาลชั่วคราวที่สร้างขึ้นมาอย่างเร่งด่วนเพื่อรองรับผู้ป่วยโคโรนาไวรัสภายในเมืองอู่ฮั่นลง 11 แห่ง จากทั้งหมด 14 แห่ง

· จีนรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสรายใหม่นอกเมืองอู่ฮั่นออกมาที่ 0 รายติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลยังคงเตือนว่าอย่าเพิ่งประมาทและควรปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่าเคร่งครัดต่อไป

· อิตาลีประกาศปิดเมือง กระทบ 16 ล้านชีวิต

รัฐบาลอิตาลีประกาศปิดย่านเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทางตอนเหนือของเมืองมิลาน เพื่อพยายามควบคุมการระบาดของโคโรนาไวรัส หลังอิตาลีรายงานผู้ติดเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสออกมาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

การประกาศปิดแคว้นลอมบาร์เดียรวมไปถึง 14 เมืองใกล้เคียงอย่าง เวนิซ, โมเดนา, ปาร์มา, ปิอาเซนซ่า, เรจจิโอ เอมิเลีย, และ ริมินี จะส่งผลกระทบต่อประชาชนกว่า 16 ล้านคน ซึ่งจะถูกสั่งห้ามรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ หรือจำกัดการเคลื่อนไหวเข้า-ออกพื้นที่จนถึงวันที่ 3 เม.ย.

· สำนักข่าว SPA News เผยว่า ซาอุดิอาระเบียประกาศระงับเที่ยวบินและการบริการขนส่ง 9 ประเทศเป็นการชั่วคราวในวันนี้ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ได้แก่ สาธารณรัฐอารับเอมิเรตส์, คูเวต, บาเรห์น, เลบานอน, ซีเรีย, เกาหลีใต้, อียิปต์, อิตาลี และอิรัก

สำหรับใครที่เดินทางเข้าประเทศจะถูกกันกันตัวไว้เป็นการชั่วคราวอย่างน้อย 14 วันก่อนเข้าสู่ประเทศ

· หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Oxford Economics กล่าวว่า การกลับสู่สภาวะปกติของเศรษฐกิจจีนดูจะค่อนข้างเป็นไปได้ช้านับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ประกอบกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่ออกมาแย่กว่าที่คาด รวมไปถึงผลสำรวจกิจกรรมภาคการผลิตและการบริการของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ Oxford Economics คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะหดตัวลง 2% ในช่วงไตรมาสแรก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และน่าจะสามารถฟื้นตัวกลับมาแข็งแกร่งได้ในช่วงที่เหลือของปี ขึ้นอยู่กับว่าประชาชนกลับมาทำงานได้เร็วมากเท่าไหร่ หรือภาคบริษัทลดความสูญเสียทางกิจกรรมได้มากเท่าไหร่

นักวิเคราะห์ฝ่ายการตลาดอาวุโสจาก OANDA กล่าวว่า การแพร่ระบาดไปทั่วโลกในเวลานี้ก็ดูจะเป็นสาเหตุที่สร้างความวิตกกังวลมากขึ้น และน่าจะทำให้จีนอาจกลับมาทำงานได้ค่อนข้างช้า และภาคการผลิตก็อาจเผชิญกับอุปสงค์จากนานาประเทศที่ลดดลง

· รัฐบาลสหรัฐฯออกประกาศเตือนชาวอเมริกัน โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง ให้หลีกเลี่ยงการรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่และการเดินทางโดยใช้เครื่องบิน ขณะที่บรรดานักลงทุนในตลาดการเงินกำลังเตรียมรับมือกับอีกสัปดาห์ที่น่าจะมีความผันผวนสูง

· รัฐบาลสิงคโปร์จะอนุญาตให้เรือสำราญ Costa Fortuna ที่เป็นเรือโดยสารสัญชาติอิตาลี สามารถจอดเทียบท่าเรือในสิงคโปร์ได้ แม้ว่าเรือสำราญลำดังกล่าวจะถูกปฏิเสธไปโดยรัฐบาลมาเลเซียและไทยก่อนหน้านี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับโคโรนาไวรัส เนื่องจากอิตาลีเป็นประเทศในยุโรปที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสมากที่สุดที่ 7,375 ราย

บริษัท Costa Crociere ที่เป็นเจ้าของเรือสำราญลำดังกล่าว ระบุว่าไม่มีผู้โดยสารหรือลูกเรือคนที่ติดเชื้อไวรัส ซึ่งเรือลำนี้บรรทุกผู้โดยสารได้เต็มที่ 3,470 คน และลูกเรืออีก 1,027 คน แต่เมื่อสัปดาห์ก่อนเรือลำนี้ได้จอดเทียบท่าที่ลังกาวีของมาเลเซียเมื่อสัปดาห์ก่อน ขณะที่ทางบริษัทไม่ได้ระบุว่า ณ ตอนนั้นมีผู้โดยสารและลูกเรืออยู่บนเรือกี่คน

· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินยูโรและเยน ท่ามกลางการปรับร่วงลงของราคาน้ำมัน ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับโคโรนาไวรัส จึงกดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯลงทำระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

โดยค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง 3% เมื่อเทียบกับเงินเยนแถว 101.58 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าที่สุดในรอบ 3 ปี ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ต่างอ่อนค่าลงเกือบ 2%

· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 0.5% ได้เป็นครั้งแรกท่ามกลางความกังวลเรื่องไวรัสโคโรนา และสงครามราคาน้ำมันที่เกิดขึ้น จึงส่งผลให้นักลงทุนเลือกถือครองในพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้นเนื่องจากมองว่าปลอดภัยมากกว่า

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ยังคงทำ All-Time Low โดยระหว่างวันหลุด 0.5% ได้เป็นครั้งแรกทำ Low ที่ 0.487% ก่อนจะทรงตัวบริเวณ 0.536%




ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปี ปรับตัวลงทำต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.974% หลุดจาก 1% ได้เป็นครั้งแรกของหน้าประวัติศาสตร์

ในขณะที่ไวรัสโคโรนาดูจะเป็นภัยคุกคามครั้งใหม่ไปทั่วทั้งโลก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรก็ดูจะสะท้อนสัญญาณเตือนที่หลากหลายในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นจากที่อัตราผลตอบแทนระยะยาวอายุ 10 ปีเคลื่อนไหวต่ำกว่าผลตอบแทนอายุ 2 ปี อันเป็นส่วนหนึ่งของความกังวล Yield Curve ซึ่งเป็นตัวชี้ว่าการเกิดขึ้นดังกล่าวมักจะนำมาซึ่งภาวะถดถอย ดังที่เคยเกิดในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา

ล่าสุด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปี ยังคงปรับร่วงต่อ และหลุดต่ำกว่าระดับ 0.4% เป็นครั้งแรกในประวัติกาณณ์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับโอกาสสงครามราคาน้ำมัน ทำให้นักลงทุนพากันเข้าถือครองพันธบัตรสหรัฐฯในฐานะ Safe-haven

อัตราผลตอบแทนพับธบัตรสหรัฐฯปรับลงทำระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.3469%

· นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าบีโอเจ รายงานต่อรัฐสภาญี่ปุ่น โดยระบุว่าทางธนาคารกลางจะมีการดำเนินการที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ และกำลังจับตาผลกระทบของโคโรนาไวรัสที่มีต่อเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด พร้อมกล่าวว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังเพิ่มสูงขึ้น ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกำลังเสื่อมโทรม และตลาดขาดความสมดุล

· เศรษฐกิจญี่ปุ่นประจำไตรมาสที่ 4 หดตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ นับตั้งแต่การขึ้นภาษีการค้าเมื่อปี 2014 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ความกังวลต่อภาวะการถดถอยทางเศรษฐกิจทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยได้รับผลกระทบเพิ่มเติมมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา

การแข็งค่าของเงินเยนและการอ่อนตัวของตลาดหุ้นญี่ปุ่น รวมถึงการลดลงของราคาน้ำมัน กำลังสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับตลาดการเงิน รวมทั้งเพิ่มความเสียหายต่อเศรษฐกิจที่กำลังถูกกดดันกับการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อเดือนต.ค.เป็น 10% จากเดิมที่ 8% รวมทั้งการท่องเที่ยวที่ลดลงและการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานที่เกิดจากวิกฤตทางด้านสุขภาพ

ข้อมูลดังกล่าวสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลและธนาคารกลางให้เร่งพิจารณาออกมาตรการเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้น

· หลังจากที่กลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตรล้มเหลวในการประชุมรอบล่าสุดเพื่อหาข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตในสภาวะที่อุปทานน้ำมันทั่วโลกล้นตลาด ประกอบกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา

นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮูสตัน กล่าวเตือนว่า หากภาพรวมราคาน้ำมันดิบทรงตัวแถว 40 เหรียญ/บาร์เรลได้ในช่วง 2 ไตรมาสหรือมากกว่านั้น ในพื้นที่เมืองฮูสตันก็อาจเผชิญกับการปรับลดกำลังจ้างงานในกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าสลงประมาณ 14,000 ราย จากจำนวนจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 265,000 ราย

นอกจากนี้ คนว่างงานในภาคอุตสาหกรรมดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้น 19,000 ราย อันหมายรวมถึงกลุ่มคนถูกเลิกจ้างจากปัญหาราคาน้ำมันที่อยู่ระหว่าง 50-60 เหรียญ/บาร์เรลเกือบทั้งปีที่ผ่านมา และจะเห็นได้ว่าการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมน้ำมันค่อยๆทยอยหายไปจากเมืองฮูสตัน และอาจประสบภาวะไม่มีงานทำเพิ่มมากขึ้นหากภาวะดังกล่าวของราคาขยายวงกว้างไปยังช่วง 4-5 หรือ 6 ไตรมาสด้วยกัน

· Goldman Sachs ลดคาดการณ์ราคาน้ำมัน Brent เหลือ 30 เหรียญ

ธนาคาร Goldman Sachs ประกาศลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ Brent สำหรับ Q2 และ Q3 เหลือ 30 เหรียญ/บาร์เรล โดยระบุว่าราคาจะเผชิญแรงกดดันจากสงครามราคาน้ำมันระหว่างรัสเซียและซาอุดิอาระเบีย ประกอบกับปริมาณอุปสงค์ในน้ำมันที่ร่วงลงอย่างหนักเนื่องจากการระบาดของโคโรนาไวรัส

นอกจากนี้ ทางธนาคารคาดการณ์ว่ากลุ่มโอเปกมีโอกาสสูงที่จะไม่สามารถหาข้อตกลงในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลงในช่วงเดือนต่อๆไปได้ แต่ก็ไม่ได้ระบุว่าโอกาสดังกล่าวเป็น 0% เสียทีเดียว

· ราคาน้ำมันดิบเผชิญการปรับตัวลงเป็นประวัติการณ์หลังจากที่ซาอุดิอาระเบียเปิดฉากสร้างเซอร์ไพร์สตลาดด้วยการทำสงครามราคา หรือ Price War กับรัสเซีย จึงส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดร่วงลงไปมากถึง 34% ทำต่ำสุดในรอบ 4 ปีที่ 27.34 เหรียญ/บาร์เรล ท่ามกลางเหล่าเทรดเดอร์ที่กังวลต่อการดำเนินการของซาอุดิอาระเบียทีส่งผลรีแคปต่อตลาดหุ้

ล่าสุดน้ำมันดิบ WTI ปรับลงประมาณ 27% แถว 30.04 เหรียญ/บาร์เรล ส่วน ฺBrent ภาพรวมลง 26% ที่ 33.49 เหรียญ/บาร์เรล และทั้ง 2 สินค้ามีการปรับตัวลงระดับวันที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1991

ตลาดหุ้นเผชิญภาวะผันผวนจากแรง Panic ตั้งแต่ที่เกิดการระบาดของไวรัสโคโรนา โดยจะเห็นได้จากตลาดหุ้นที่เปิดร่วงตั้งแต่เปิดตลาดทำการ ในขณะที่ดัชนีสหรัฐฯฟิวเจอร์สปรับตัวลงทำต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

ความผันผวนดังกล่าวมีมากขึ้นเมื่อประเทศสมาชิกโอเปกและรัสเซียไม่สามารถตกลงกันได้ โดยที่รัสเซียทำการปฏิเสธความพยายามของกลุ่มโอเปกในการเพิ่มการตัดลดกำลังการผลิตเพื่อรับมือกับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา และนั่นจุดชนวนให้ราคาน้ำมันร่วงลงกว่า 10% ในคืนวันศุกร์ แต่แล้วซาอุดิอาระเบียก็สร้างแรงตึงเครียดเพิ่มขึ้นจากการที่จะหั่นราคาน้ำมันดิบในเดือนเม.ย.ประมาณ 6-8 เหรียญ เพื่อกดดันรัสเซีย และผลที่ตามมาคือกดดันตลาดหุ้นร่วมไปด้วย

· ราคาน้ำมันลดลงกว่า 25% ซึ่งเป็นการลดลงในหนึ่งวันที่มากที่สุดในรอบ 29 ปี หลังจากที่ซาอุดิอาระเบียทำสงครามราคาน้ำมันในตลาดที่กำลังอ่อนแอจากผลกระทบของโคโรนาไวรัสอยู่แล้ว

ซาอุดิอาระเบียปรับลดราคาขายน้ำมันและวางแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันภายในเดือนหน้าหลังจากที่รัสเซียไม่ตอบรับข้อเรียกร้องให้ร่วมมือปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกเพื่อรักษาเสถียรภาพในตลาดน้ำมัน

ราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 11.81 เหรียญ หรือ 26% ที่ระดับ 33.46 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากก่อนหน้านี้ลดลงถึง 31.02 เหรียญ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 12 กุ.พ. 2016 โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ล่วงหน้ามีแนวโน้มลดลงมากที่สุดตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค. 1991 ที่ราคาลดลงในช่วงเริ่มต้นของ Gulf War เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่าจะเกิดสงครามเป็นเวลาหลายเดือน

ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 11.48 เหรียญ หรือ 28% ที่ระดับ 29.80 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 12 กุมภาพันธ์ 2016 โดยราคาน้ำมันดิบ WTI มีแนวโม้มที่จะปรับลดลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ยิ่งกว่าการปรับลดลง 33% ในเดือน ม.ค. 1991


· FX Street : ราคาน้ำมัน WTI ทำระดับต่ำสุดรอบ 4 ปี หลังซาอุฯจุดชนวนสงครามราคาน้ำมัน




ราคาน้ำมัน WTI เปิดตลาดสัปดาห์นี้ในแดนลบอย่างหนัก โดยปรับลงไปถึงระดับ 30 เหรียญ/บาร์เรลในช่วงบต้นตลาดเอเชียวันนี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ ส.ค. ปี 2016

สงครามราคาน้ำมัน

ซาอุดิอาระเบียสร้างความประหลาดใจให้กับทั้งโลกเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยการประกาศลดราคาส่งออกน้ำมันลง 6 – 8 เหรียญสำหรับลูกค้าในแถบเอเชีย พร้อมยังประกาศจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันแทนที่จะเป็นการปรับลด เพื่อเกาะกระแสราคาน้ำมันที่ปรับลดลงอย่างมากจากแรงกดดันของโคโรนาไวรัส

การประกาศของซาอุดิอาระเบียถูกมองว่าเป็นการตอบโต้รัสเซียที่พันธมิตรของกลุ่มโอเปก โดยการประชุมระหว่างกลุ่มโอเปกและพันธมิตรเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เดิมทีถูกคาดว่าการประชุมจะจบลงได้ด้วยดีและทางกลุ่มตัดสินใจขยายเวลาของมาตรการปรับลดกำลังการผลิตรวมถึงลดกำลังผลิตลง 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน เผื่อรับมือกับผลกระทบของโคโรนาไวรัส แต่ทางรัสเซียกลับปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างรัสเซียและซาอุฯเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com