· ราคาทองคำเผชิญแรงเทขายในตลาดและหลุด 1,500 เหรียญเมื่อวานนี้ ภาพรวมราคาร่วงลง 200 เหรียญจากสูงสุดที่ทำไว้ในช่วงต้นสัปดาห์ก่อน โดยเมื่อวานทองทำต่ำสุดตั้งแต่ 27 พ.ย. ปีที่แล้วบริเวณ 1,456.8 เหรียญ ซึ่งเป็นการหลุดเส้นค่าเฉลี่ย MA ราย 200 วันที่ 1,497.4 เหรียญเป็นครั้งแรกตั้งแต่ 20 ธ.ค. ปี 2018 และการหลุดเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าวทำให้ภาพของทองคำเป็นขาลง
· ราคาทองคำตลาดโลกรีบาวน์ได้ หลังร่วงไปกว่า 5% โดยปิด -1.4% ที่ 1,508.44 เหรียญ ขณะที่สัญญาทองคำส่งมอบเดือนเม.ย. ปิด -0.3% ที่ 1,512.5 เหรียญ
· กองทุน SPDR เมื่อวานนี้ขายทองคำออกอีก 1.75 ตัน ปัจจุบันถือครองทองคำที่ 929.84 ตัน โดยเป็นการขายออกติดต่อกัน 5 วันทำการ
· ไม่เพียงแต่ทองคำที่ปรับตัวลง ตลาดหุ้นทั่วโลก, น้ำมัน และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ก็ยังคงปรับตัวลดลงไป 10% จากการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโคโรนา และความต้องการปิด Margin Calls ในขณะเดียวกันความต้องการทองคำก็ดูจะลดลงควบคู่ไปกับการที่จีน ซึ่งเป็นศูนย์กลางทองคำในเอเชียประสบปัญหาไวรัสโคโรนา
นอกจากนี้ แรงกดดันในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ทำให้ราคาแพลทินัมทรุดลงกว่า 27% วานนี้ ทำระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2002 ก่อนจะปิด -13.2% ที่ 661 เหรียญ ถือเป็นการปิดรายวันที่แย่ที่สุดเป็นประวัติการณ์
· พลาเดียมปิด -5.3% ที่ 1,711.5 เหรียญ ต่ำสุดตั้งแต่สิ้นเดือน ส.ค. ขณะที่ราคาซิลเวอร์ปิด -10.9% ที่ 13.09 เหรียญ ถือเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2009
· นักวิเคราะห์โดยส่วนใหญ่มองว่าการร่วงเป็นประวัติการณ์ของราคาทองคำตลอดช่วงสัปดาห์ที่แล้วเป็นลักษณะ Dash for cash โดยนักลงทุนเลือกปิดสถานะในพอร์ตเพื่อมาถือเงินสด ในช่วง Margin Calls
· หัวหน้านักวิเคราะห์จาก BullionVault กล่าวกับทาง CNBC ว่า ตลาดอยู่ในภาวะ “Dash for Cash” และคาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวเป็นขาลงในระยะสั้นๆ โดยความต้องการของผู้บริโภคทองคำในรูปจิวเวลรีเองก็ค่อนข้างน้อย และหลายๆกองทุนรวมทั้งนักลงทุนต่างก็มีการปิดสถานะเพื่อทำกำไรจากราคาที่ปรับตัวขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้า แต่ภาพรวมความต้องการทองคำในระยะยาวยังอยู่ในระดับสูง โดยจะเห็นได้จากเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ตลาดทองคำหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016
· ธนาคารกลางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในประเทศญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ต่างดำเนินนโยบายไปในทางเดียวกับเฟดในเชิงผ่อนคลายทางการเงินอย่างมาก นับเป็นความพยายามที่ไม่ได้เห็นมาตั้งแต่ที่เกิดวิกฤตทางการเงินในปี 2008