Jignesh Davda นักวิเคราะห์จาก FX Empire อธิบายถึง 3 เหตุผลที่ทำให้เขาคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะปรับสูงขึ้นต่อ และมีโอกาสที่จะขึ้นเหนือระดับสูงสุดของปี 2012 ไว้ดังต่อไปนี้
1. การแข็งค่าของดอลลาร์ ไม่ได้กดดันทองคำมากนัก
หากเป็นสถานการณ์ปกติ ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นมาอย่างมากมักจะกดดันราคาทองคำให้ต่ำลง แต่การเคลื่อนไหวของทั้ง 2 สินทรัพย์นี้เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงที่สถานการณ์ไวรัสโคโรนาเลวร้ายลงอย่างมาก ได้สร้างความประหลาดใจให้กับบรรดานักลงทุนกันถ้วนหน้า
จริงอยู่ ที่ความต้องการค่าเงินดอลลาร์ในฐานะ Safe-haven ยังกดดันการเข้าซื้อทองคำอยู่บ้าง แต่ราคาทองคำก็ยังคงมีฐานที่แข็งแกร่ง และเริ่มปรับขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งนับตั้งแต่กลางเดือน เม.ย. แม้จะปรับขึ้นได้ด้วยอัตราที่ไม่เท่ากับในเดือน มี.ค. แต่ก็ปรับขึ้นได้ท่ามกลางค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นกว่า 2% ซึ่งล่าสุดค่าเงินดอลลาร์ก็ใกล้ที่จะ Breakout ไปทำระดับสูงสุดของเดือน เม.ย. อีกครั้ง
การที่ราคาทองคำสามารถปรับขึ้นแม้จะเผชิญแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์เป็นเหตุผลแรกที่ทำให้คาดการณ์ว่าราคาทองคำจะปรับสูงขึ้นได้อีก
2. ตลาดหุ้นรีบาวน์ขึ้นมาได้กว่า 30%
อีกคู่สินทรัพย์หนึ่งที่มีการเคลื่อนไหวค่อนข้างสอดคล้องกันในสถานการณ์ไวรัส ก็คือตลาดหุ้นและราคาทองคำ โดยหากเป็นสถานการณ์ปกติ ทั้งสองสินทรัพย์นี้มักจะเคลื่อนไหวแบบสวนทางกัน
การที่ทั้งสองสินทรัพย์เริ่มมีทิศทางการเคลื่อนไหวสัมพันธ์กันเกิดขึ้นตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2019 โดยดัชนี S&P 500 และราคาทองคำสามารถปรับสูงขึ้นได้ค่อนข้างมากทั้งคู่ และการเคลื่อนไหวในแบบเดียวกันเกิดขึ้นอีกในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมานี้เอง
ความแตกต่าง ณ ปัจจุบันคือการที่ราคาทองคำดูจะมีอัตราการปรับขึ้นทางพื้นฐานได้มากกว่าตลาดหุ้น นับตั้งแต่ที่ทั้งคู่ต่างลงไปทำจุดต่ำสุดโดยเพิจารณาจากปัจจัยความเสี่ยงของตลาดด้วยแล้ว กล่าวคือ แม้ดัชนี S&P 500 จะสามารถปรับขึ้นมาได้ 30% เทียบกับทองคำที่ปรับขึ้นมาได้ 19% แต่ราคาทองคำสามารถขึ้นเหนือระดับสูงสุดของเดือน มี.ค. มาได้ ขณะที่ดัชนีต้องปรับขึ้นอีกอย่างน้อย 22% ถึงจะสามารถสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งได้แบบทองคำ นั่นจึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มองว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้นต่อ
3. หุ้นกลุ่มเหมืองทองเริ่มฟื้นตัวและกำลังจะ Breakout
เหตุผลสุดท้ายที่ทำให้คาดการณ์ว่าราคาทองคำจะปรับสูงขึ้นมาจากกองทุนหุ้นกลุ่มเหมืองทอง หรือดัชนี Gold Miners ETF (GDX) ที่กำลังส่งสัญญาณ Breakout ทางเทคนิค
โดยดัชนีกองทุน GDX ได้ยืนเหนือระดับสำคัญทางเทคนิคที่ระดับ 32 เหรียญ ซึ่งเป็นระดับสำคัญที่กดดันไม่ให้กองทุนสามารถปรับสูงขึ้นมาได้ตลาดปี 2016 รวมถึงช่วงต้นปีนี้ การที่กองทุนสามารถยืนเหนือระดับสำคัญนี้ได้ ทำให้กองทุนปรับขึ้นต่อไปทำระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี
สาเหตุที่ทำให้มองว่าการเคลื่อนไหวของกองทุนจะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในทิศทางบวก เป็นเพราะว่าราคาทองคำก็สามารถยืนเหนือระดับสูงสุดของปี 2016 ได้เมื่อปีก่อนและกำลังเคลื่อนไหวในแดนบวกจากระดับดังกล่าวมาประมาณ 30%
กล่าวคือ เมื่อมีส่วนใดส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ในกลุ่มเดียวกัน ที่เป็นส่วนที่นักลงทุนให้ความสนใจน้อยกว่าหรือมีผลประกอบการอ่อนแอกว่าเริ่มส่งสัญญาณความแข็งแกร่งทางเทคนิค จะเป็นสัญญาณของการเคลื่อนไหวครั้งใกญ่ที่จะตามมาในอนาคต
ที่มา: FX Empire