• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 27 เมษายน 2563

    27 เมษายน 2563 | SET News
 

· ภาพรวมดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับตัวสูงขึ้นไปกว่า 177 จุด จากช่วงเปิดตลาดที่เปิดปรับขึ้นมาราว 168 จุด ทำให้ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ขยับขึ้นตาม แม้ว่าน้ำมันดิบ WTI ฟิวเจอร์สจะปรับลงไปกว่า 10% แตะ 15.18 เหรียญ/บาร์เรล โดยกลุ่มนักลงทุนยังคงให้ความสำคัญและติดตามความเป็นไปได้ในการกลับมาเปิดทำการทั่วโลก

·


· ตลาดหุ้นเอเชียปรับสูงขึ้นในวันนี้ หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่นหรือ BOJ ประกาศออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยบรรเทาเศรษฐกิจจากผลกระทบของวิกฤติไวรัสโคโรนา ขณะที่ราคาน้ำมันปรับลดลงอีกครั้งท่ามกลางภาวะปริมาณน้ำมันล้นตลาด

โดยดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับสูงขึ้น 1.8% หลังจากปิดตลาดสัปดาห์ก่อนลดลง 2.6%

ตลาดจะรอจับตาการประชุมของเฟดและอีซีบีในสัปดาห์นี้ โดยที่นักวิเคราะห์จาก ANZ คาดการณ์ว่าทางอีซีบีมีแนวโน้มจะประกาศเพิ่มการเข้าซื้อพันธบัตร ด้วยวงเงินที่คาดไว้ในกรอบ 5 แสนล้านยูโร – 1.250 ล้านล้านยูโร

ส่วนเฟดคาดการณ์ว่าจะไม่มีการประกาศนโยบายอะไรเพิ่มเติม แต่คาดว่าเฟดจะกล่าวย้ำเน้นว่าการใช้นโยบายแบบผ่อนคลายพิเศษนี้จะดำเนินต่อไปเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจอีกสักระยะ

· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับสูงขึ้นได้ค่อนข้างมากในวันนี้ ท่ามกลางการรายงานผลประกอบการที่ค่อนข้างสดใส และแรงหนุนจากดัชนีฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐฯที่ปรับสูงขึ้นได้

โดยดัชนี Nikkei ปิด +2.7% ที่ระดับ 19,783.22 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของวันที่ 17 เม.ย. ขณะที่ดัชนี Nikkei volatility index วัดความผันผวนของตลาดได้ปรับลดลง 9.8% สู่ระดับ 34.9 จุด

ดัชนีฟิวเจอร์ส S&P 500 ปรับสูงขึ้น 1.2% ในช่วงบ่ายของตลาดเอเชียวันนี้ จึงเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นญี่ปุ่น

ขณะที่การประกาศเพิ่มนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางญี่ปุ่นหลังประชุมวันนี้ ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นค่อนข้างน้อย เนื่องจากทางธนาคารกลางได้ระบุว่าจะคงอัตราการเข้าซื้อกองทุน ETFs และกองทุนกลุ่มอสังหาฯในญีปุ่น (J-REITs) รายปีไว้เท่าเดิม

· ตลาดหุ้นจีนปิดแดนบวก ท่ามกลางรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายใหม่ที่ลดน้อยลง ประกอบกับการคาดหวังว่ารัฐบาลจะมีการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากการระบาดของไวรัส

โดยดัชนี Shanghai Composite ปิด +0.25% ที่ระดับ 2,815.49 จุด ขณะที่นักลงทุนกำลังรอการประกาศกำหนดการใหม่ของการประชุมรัฐสภาประจำปีอย่างเป็นทางการจากรัฐบาล โดยในช่วงต้นตลาดดัชนีสามารถปรับขึ้นไปได้มากถึง 0.7%

ขณะที่ดัชนี The blue-chip CSI300 ปิด +0.68 นำโดยหุ้นกลุ่มการเงินที่ปรับขึ้นได้ 1.12% กลุ่มอุปโภคบริโภค +1.1% กลุ่มอสังหาฯ +1.03% และกลุ่มสุขภาพ +1.97%

รายงานจาก China Daily ระบุว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐสภาจีนมีการจัดประชุมแบบ 2 เดือนครั้งที่จะใช้เวลาประชุมทั้งหมด 4 วันเพื่อหารือเกี่ยวกับการกำหนดกำหนดการใหม่สำหรับการประชุมรัฐสภาประจำปี และถูกคาดว่าน่าจะมีประกาศภายในวันพุธนี้



· ตลาดหุ้นยุโรปเปิดปรับขึ้นวันนี้ท่ามกลางหุ้นกลุ่มสายการบินที่ปรับตัวขึ้นจากความหวังว่าจะได้รับแรงสนับสนุนท่ามกลางฤดูการประกาศผลประกอบการบริษัท โดยนักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกว่าหลายๆประเทศจะมีการผ่อนคลายภาวะ Lockdown

หุ้นสายการบิน Lufthansa ปรับขึ้นกว่ 7.2% จากความคาดหวังจะเห็นการสนับสนุนจากกรุงเบอร์ลิน ด้านสายการบิน Air France KLM ปรับขึ้นกว่ า5.2% หลังรัฐบาลเผยจะอัดฉีดเม็ดเงินกว่า 7 พันล้านยูโร (7.6 พันล้านเหรียญ) เพื่อช่วยเยียวยาผลกระทบที่ได้รับ

ทำให้ดัชนี Stoxx 600 เปิดปรับขึ้นกว่ 1.7% ตามหุ้นเอเชียที่ปรับขึ้นจากการที่บีโอเจจะทำการเข้าซื้อพันธบัตรแบบไม่จำกัด


อ้างอิงจากสำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

"สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" สำรวจความเคลื่อนไหวอุตสาหกรรมกองทุนรวม Q1/63 พบเกินครึ่งผลตอบแทนติดลบ กองทุนน้ำมัน-หุ้นไทยดิ่งหนักสุด ส่วนทองคำ-ตราสารหนี้ ชนะเลิศ แถมกองทุน SFFX ยอดขายฝืด เหตุนักลงทุนลดเสี่ยง เน้นถือเงินสด แต่พบ 2 กองทุน "ทริกเกอร์ฟันด์" เข้าเป้า หลังหุ้นไทยรีบาวด์

*** ผลตอบแทน Q1/63 ติดลบเกือบยกแผง

"ชญานี จึงมานนท์" นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผลตอบแทนกองทุนรวมประจำไตรมาส 1/63 ติดลบถึง 25 ประเภทกองทุน จากทั้งหมด 34 ประเภทกองทุน โดย กลุ่มกองทุนน้ำมัน (Commodities Energy) ให้ผลตอบแทนติดลบสูงสุดถึง 52.1% เป็นไปตามราคาน้ำมันดิบที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 17 ปี รองลงมาคือกลุ่มกองทุนหุ้นไทยขนาดกลาง/เล็ก (Equity Small/Mid-Cap) ติดลบ 27.89% และ กลุ่มกองทุนหุ้นไทยขนาดใหญ่ (Equity Large-Cap) ติดลบ 27.33% ตามภาพรวมตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงไปทดสอบจุดต่ำสุดในรอบ 9 ปี ขณะที่กองทุนรวมประเภทอื่นๆ ที่ผลตอบแทนติดลบมีดังนี้



อ้างอิงจากสำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ

- ศบค. ต่อ "พ.ร.ก.ฉุกเฉิน" อีก 1 เดือน ผ่อนปรน ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจได้

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน ได้พิจารณาการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไปอีก 1 เดือน หลังจากที่จะครบกำหนดในวันที่ 30 เม.ย.นี้ ซึ่งเป็นไปตามที่ฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานด้านสาธารณสุขมีความเห็นตรงกัน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของมาตรการผ่อนปรนการล็อกดาวน์ต่างๆ นั้นจะอนุญาตให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการได้ โดยจะพิจารณาตามความเหมาะสม และสิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของประชาชน

- รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน ได้พิจารณาการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไปอีก 1 เดือน หลังจากที่จะครบกำหนดในวันที่ 30 เม.ย.นี้ ซึ่งเป็นไปตามที่ฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานด้านสาธารณสุขมีความเห็นตรงกัน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของมาตรการผ่อนปรนการล็อกดาวน์ต่างๆ นั้นจะอนุญาตให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการได้ โดยจะพิจารณาตามความเหมาะสม และสิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของประชาชน

- นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (ศบค.) แถลงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน ว่า ประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 9 ราย รวมยอดสะสม 2,931 ราย ใน 68 จังหวัด เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย ยอดผู้เสียชีวิตรวม 52 ราย รักษาหายกลับบ้านเพิ่ม 15 ราย รวม 2,609 ราย

- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล

โดยรายงานข่าวจากที่ประชุม เปิดเผยว่า นอกจากที่ประชุม ศบค. มีมติให้ต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ออกไปอีก 1 เดือนแล้ว ยังมีมติให้เลื่อนวันหยุดนักขัตฤกษ์ของเดือนพฤษภาคมทั้งหมดออกไปก่อน ได้แก่

- วันที่ 1 พ.ค. วันแรงงานแห่งชาติ

- วันที่ 4 พ.ค.วันฉัตรมงคล

- วันที่ 6 พ.ค. วันวิสาขบูชา

- วันที่ 11 พ.ค. วันพืชมงคล

โดยจะนำเสนอเข้าที่ประชุม ครม.ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งรัฐบาลจะพิจารณาชดเชยวันหยุดในภายหลัง เช่นเดียวกับวันสงกรานต์ที่มีมติเลื่อนไปก่อนหน้านี้


- จากที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เปิดเผยว่า ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะพิจารณาและไปจัดทำข้อกำหนด ว่าจะมีการผ่อนปรนในเรื่องใดบ้าง โดยเริ่มจากกิจการสีขาวไปก่อน เมื่อได้ความชัดเจนจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 28 เม.ย.นี้ จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะลงมาเพื่อประกาศต่อไป โดยคาดว่าจะเริ่มได้ในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม หรือตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคมเป็นต้นไป เช่น ร้านอาหารขนาดเล็กที่ไม่ติดแอร์ ตลาดสด ตลาดนัด ร้านเสริมสวย ร้านตัดผม และห้างสรรพสินค้า ซึ่งจะมีรูปแบบกำหนดให้ว่า หากเปิดกิจการแล้วจะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง มาตรการผ่อนปรนที่จะออกมาจะใช้ทั่วประเทศ โดยจะแบ่งเป็นประเภทกิจการ เป็นการทยอยปลดล็อกไปทีละขั้น ซึ่งจะมีการประเมินผลทุก 14 วัน ขณะที่สถานบันเทิงจะพิจารณาหลังจากกลุ่มที่เสี่ยงน้อยไปแล้ว โดยจะทยอยเสี่ยงน้อยที่สุด เสี่ยงปานกลาง ไปจนถึงกลุ่มที่เสี่ยงมาก ทั้งนี้จะพิจารณาเป็นลำดับไป โดยกระทรวงสาธารณะสุขจะร่วมกับกระทรวงมหาดไทยที่จะดูแลทั่วประเทศ หากจังหวัดไหนผ่อนปรนแล้ว และประเมินผลไม่ผ่านก็จะกลับมาเข้มอีก ด้านมาตรการเคอร์ฟิว ในแต่ละพื้นที่ให้ยึดตามประกาศพระราชกำหนดฉุกเฉินคือเวลา 22.00-04.00 น.


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com