· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มบริษัทอินเตอร์เน็ต ขณะที่น้ำมันเพิ่มขึ้นจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีน ประกอบกับการประชุมประจำปีของ Warren Buffett’s ที่ดูจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้น
ดัชนีดาวโจนส์ปิด +26.07 จุด หรือ +0.11% ที่ 23,749.76 จุด ทางด้านดัชนี S&P500 ปิด +0.42% ที่ 2,842.74 จุด ขณะที่ Nasdaq ปิด +1.23% ที่ 8,710.72 จุด
ตลาดหุ้นดูจะรีบาวน์ได้นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมี.ค. ที่การระบาดของไวรัสโคโรนาดูจะทำให้เกิดแรงเทขายครั้งใหญ่ แต่ก็มีแรงหนุนบางส่วนจากการใช้มาตรการทางการเงินและการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่นักลงทนุจับตาความพยายามของหลายๆรัฐในสหรัฐฯว่าจะสามารถฟื้นเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใดหลังผ่อนคลายข้อบังคับต่างๆในการต่อสู้กับการระบาดของไวรัสโคโรนา
เมื่อวานนี้ ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก เผยแผนการกลับมาเปิดทำการภาคธุรกิจ ขณะที่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่าจะสามารถกลับมาเปิดภาคธุรกิจค้าปลีกได้เร็วสุดในสัปดาห์นี้
· เช้านี้ดัชนีฟิวเจอร์สสหรัฐฯเปิดปรับตัวขึ้นต่อ โดยนักลงทุนยังสนใจต่อประเด็นการกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง ซึ่งเช้านี้ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์เปิดนำ 50 จุด จึงทำให้ดูเหมือนจะเห็น S&P500 และ Nasdaq ขยับขึ้นตาม
อย่างไรก็ดี กลุ่มนักลงทุนยังคงมีความกังวลว่าการกลับมาเปิดทำการจะทำให้เกิดการระบาดใหม่ครั้งที่ 2 หรือไม่ หลังจากที่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่าจะอนุญาตให้กลุ่มผู้ค้าปลีกกลับมาเปิดทำการได้ในวันศุกร์นี้
· ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยดัชนี Stoxx 600 ปิด -2.5% ท่ามกลางหุ้นกลุ่มน้ำมันและแก๊สที่ปรับตัวลงไปเกือบ 5% ที่ดูจะนำให้หุ้นกลุ่มอื่นๆเข้าสู่แดนลบ
ขณะที่กิจกรรมภาคการผลิตยูโรโซนหดตัวลงเป็นประวัติการณ์ในเดือนเม.ย. โดย IHS เผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (PMI) ร่วงลงแตะ 33.4 จุด จากเดิมที่ระดับ 44.5 จุดในเดือนก่อนหน้า ซึ่งการต่ำกว่า 50 จุด ถือว่เป็นสัญญาณของการหดตัว
· เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นเอเชียปิดแดนลบนำโดยดัชนี HSI ของฮ่องกงที่ปิดร่วงกว่า 4.18% ที่ 23,613.8 จุด อันเนื่องจากความตึงเครียดของสหรัฐฯและจีนที่ดูจะกดดันความเชื่อมั่นนักลงทุน ขณะที่หลายๆประเทศในภูมิภาคเมื่อวานนี้เป็นวันหยุด
หลายๆ ฝ่ายเชื่อว่า ท่าทีคุกคามจีนของนายทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯเมื่อวันอาทิตย์ที่เชื่อว่าจีนดำเนินการผิดพลาด และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการระบาดไปทั่วทุกมุมโลก แต่เขาเองก็ไม่ได้เปิดเผยถึงหลักฐานที่ได้รับ ขณะที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว เผยว่า การระบาดดังกล่าวไม่ได้เกิดจากฝีมือมนุษย์ แต่ก็ยังคงอยู่ในระหว่างสืบสวนว่าสาเหตุของการระบาดมาจากการทดลองในเมืองอู่ฮั่นหรือไม่
· ตลาดหุ้นออสเตรเลียเช้านี้เปิดปรับขึ้น โดยดัชนี S&P/ASX ปิด +0.69% ท่ามกลางตลาดที่รอคอยการประกาศนโยบายดอกเบี้ยจากธนาคารกลางออสเตรเลียที่จะมีการประชุมในวันนี้
ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่รอคอยความคืบหน้าเรื่องสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา, ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีน หลังจากที่ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดร่วงกว่า 4% วานนี้จากความไม่แน่นอนต่างๆ
สำหรับวันนี้ ตลาดหุ้นจีน, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้จะปิดทำการเนื่องในวันชาติ
· นักบริหารการเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ระหว่าง 32.30-32.50 บาท/ดอลลาร์ โดยยังคงไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ขณะที่ล่าสุดเคลื่อนไหวแข็งค่าอิงไปทิศทางการฟื้นตัวของตลาดหุ้นและค่าเงินของเอเชียแม้จะยังเห็นเงินทุนต่างชาติกลับมาในตลาดไทย
ในระยะสั้น เชื่อว่าตลาดควรจับตาแรงกดดันจากความกังวลเรื่องสงครามการค้าครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐฯและจีน ซึ่งอาจสร้างความผันผวนได้บ้าง แม้คาดว่าจะไม่มีผลกระทบเพิ่มเติมกับทิศทางทางการค้าปัจจุบันมากนัก ขณะที่ในระยะถัดไป แนะนำจับตาไปที่การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจในฝั่งสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันศุกร์ ว่าตลาดทุนจะตอบรับอย่างไรกับภาพตลาดแรงงานที่อ่อนแอลงอย่างชัดเจนครั้งนี้
· อ้างอิงจากสำนักข่าว INN News
- นายสมชัย จิตสุชน กรรมการ คณะที่ปรึกษาด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม ในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า การคลายล็อกให้ 6 กิจการ กลับมาทำธุรกิจได้นั้น ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจและประชาชน แต่อย่างไรก็ตาม ก็จะต้องดูกันต่อไป ว่า เมื่อธุรกิจเปิดไปแล้ว 10 วัน 14 วัน ตัวเลขการติดเชื้อจะเป็นอย่างไร ถ้ากลับมาระบาดมากขึ้น ก็ต้องกลับมาพิจารณากันอีกที
ส่วนความพร้อมของการเปิดธุรกิจนั้น นายสมชัย กล่าวว่า ธุรกิจขนาดใหญ่ มีการประชุมกันเรียบร้อยแล้ว และก็ได้จัดทำคู่มือการปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนกิจการและกิจกรรม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่สิ่งที่เป็นห่วง ก็คือ ธุรกิจประเภทที่ไม่ได้อยู่ในคู่มือ ตรงนี้ก็จะต้องไปดูหลักเกณฑ์พื้นฐาน ทั้งในเรื่องการเว้นระยะห่าง รวมถึงการเข้มงวดใส่หน้ากากอนามัยด้วยเช่นกัน
สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจไทยปี 23 มองว่า จะติดลบแน่นอน แต่ก็หวังว่า หากการปลดล็อกครั้งนี้สามารถควบคุมการระบาดได้ดี ผู้ประกอบการ ประชาชนให้ความร่วมมือ และไม่ต้องกลับไปยกระดับความเข้มข้นใหม่ ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะค่อยๆฟื้นตัวได้ ในช่วงไตรมาส 3 และ ไตรมาส 4 นี้