• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 11 พฤษภาคม 2563

    11 พฤษภาคม 2563 | Economic News


·         สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 4,179,839 ราย

Ø  จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 283,850 ราย

Ø  จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 212 ประเทศ

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯล่าสุดมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 1,367,638 ราย และมีผู้เสียชีวิตที่ระดับ 80,787 ราย

Ø  จำนวนผู้เชื้อในสหราชอาณาจักรล่าสุดอยู่ที่ 219,183 ราย ซึ่งขณะนี้ขึ้นมาเป็นลำดับที่ 3 ของโลก และมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในยุโรปที่ระดับ 31,855 ราย

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในรัสเซียล่าสุดอยู่ที่ 209,688 ราย และมีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ระดับ 1,915 ราย

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดรวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 3,009 ราย (+5) และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นรวมสะสม 56 ราย

·         สถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาดูจะทำให้เจ้าหน้าที่ด้านการวิเคราะห์ของ Moody’s Analytics แสดงความกังวลต่อการกลับมาเปิดทำการที่เร็วเกินไปในสหรัฐฯ ที่อาจทำให้เกิดการระบาดรอบใหม่ในเวลานี้ โดยเฉพาะเมื่อยังไม่มีวัคซีนสำรหับไวรัสดังกล่าว และสิ่งนี้จะส่งผลให้เกิดภาวะถดถอยเชิงลึก ทำให้เมื่อเวลานั้นมาถึงก็อาจไม่สามารถที่จะทำการ Shutdown ได้อีกครั้ง และความหวาดกลัวของประชาชน จะเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจในประเทศ รวมทั้งทำให้เกิดการว่างงานเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

·         เจ้าหน้าที่ระดับสูงเผยว่า นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะรักษาระยะห่างจากผู้อื่นในสองสามวันนี้หลังจากที่เลขาติดเชื้อไวรัสโคโรนา

นอกจากนี้ โฆษกได้ระบุว่านายเพนซ์จะกักตัวอย่างแน่นอน พร้อมเผยว่า นายเพนซ์จะทำตามคำแนะนำของหน่วยพยาบาลที่ทำเนียบขาว โดยในทุกๆวันผลตรวจเลือดของเขาก็ออกมาเป็นลบ และยังมีแผนว่าจะกลับมาทำงานที่ทำเนียบขาวในวันพรุ่งนี้

·         การระบาดของไวรัสโคโรนาดูจะนำมาซึ่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่ยังคงไม่สามารถกลับมาเปิดทำการได้  โดยผู้เชี่ยวชาญมองว่าประชาชนทั่วไปมีแนวโน้มจะเริ่มหาทริปการท่องเที่ยวที่ไม่ห่างจากที่พักอาศัยมากนัก โดยการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่อาจมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการจองที่พักช่วงวันหยุด โดยการขับรถแทนการเลือกเดินทางด้วยเครื่องบิน



จะเห็นได้ว่า TripAdvisor.com สะท้อนถึงการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวของประชาชนโดยเป็นการจองหรือเลือกเดินทางใกล้บ้านมากกว่า แต่การค่อยๆกลับมาเดินทางท่องเที่ยวก็ดูจะช่วยให้อุปสงค์ภายในประเทศฟื้นตัวได้ก่อนจะขยายสู่การเดินทางระดับประเทศ

 

·         ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นหลังัจากที่ขอ้มูลจ้างงานรัฐบาลสหรัฐฯในเดือนเม.ย.ออกมาดีขึ้นกว่าที่คาด ขณะเดียวกันดอลลาร์เมื่อเทียบยูโรในภาพรายสัปดาห์ก็ดูจะแข็งค่าได้มากกว่า 1 เดือนท่ามกลางค่าเงินยูโรที่วิตกกังวลต่อการเข้าซื้อสินทรัพย์ของอีซีบีที่เป็นปัจจัยกดดันยูโร

ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในคืนวันศุกร์ 0.1
มาที่ 99.824 จุด ขณะที่ค่าเงินยูโรทรงตัวแนว 1.0827 ดอลลาร์/ยูโร ด้านค่าเงินเยนปรับอ่อนค่าลง 0.3% มาที่ 106.57 เยน/ดอลลาร์

ทั้งนี้ ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงต่างปรับตัวสูงขึ้นได้ในวันดังกล่าว ไม่เพียงแต่ค่าเงินดอลลาร์ แต่ตลาดหุ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรก็ปรับขึ้นด้วย

 

 

·         ผลกระทบจากการ Shutdown เศรษฐกิจของไวรัสโคโรนาดูจะส่งผลให้การจ้างงานในเดือนเม.ย. หดตัวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์กว่า 20.5 ล้านคน และมีอัตราว่างงานพุ่งแตะ 14.7%



ซึ่งตัวเลขทั้ง 2 ตัวดังกล่าวดูจะเป็นการปรับตัวลงมากกว่าในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2  โดยข้อมูลอัตราว่างงานล่าสุดสูงกว่าในยุค Great Depression ที่ตอนนั้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 10.8% ขณะที่ช่วงวิกฤตทางการเงินทำสูงสุดในช่วงต.ค. ปี 2009 ที่ 10%

สำหรับภาวการณ์จ้างงานดูจะได้รับผลกระทบและคาดว่าจะย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เม.ย. ปี 2010 คิดเป็น 17.2%และทำให้ “Real Unemployment Rate” ที่เป็นการสะท้อนค่าตลาดแรงงานที่ร่วงลงแรงกว่า 60.7% ซึ่งเป็นสูงสุดตั้งแต่ปี 1973

 

·         นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ กล่าวว่า ข้อมูลอัตราว่างงานที่ออกมาแย่ในคืนวันศุกร์เป็นผลพวงจากการ Lockdown อันเนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรนาที่ทำให้เราอาจเห็นสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้ และเราอาจเห็นสภาวะการจ้างงานที่แย่ลงไปกว่านี้ก่อนจะค่อยๆดีขึ้

 

·         นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า สัปดาห์นี้รัฐบาลจะเริ่มเข้าซื้อผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากเกษตรกรที่มูลค่า 3 พันล้านเหรียญ ท่ามกลางสภาวะการว่างงานที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี ถ้อยแถลงของเขาก็ยังมีความไม่ชัดเจนในการกล่าวอ้างถึงงบ 1.9 หมื่นล้านเหรียญสำหรับแผนที่เคยประกาศไปในช่วงต้นเดือนเม.ย. โดยกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุดมีเพียงกล่าวถึงการจัดสรรงบ 3 พันล้านเหรียญเท่านั้น และทางทำเนียบขาวก็ไม่ได้ตอบรับกับการจะให้ข้อมูลใดๆเพิ่มเติมในส่วนนี้

 

·         นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า มาตรการ Lockdown อาจจะไม่สิ้นสุดลงในเร็ววัน โดยเรียกร้องให้ประชาชนยังคงระมัดระวังตนเอง โดยแผนการผ่อนปรน Lockdown จะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ภาครัฐบาลจะยังคงเฝ้าระวังต่อการทยอยกลับมาเปิดทำการทางเศรษฐกิจและสถานที่ต่างๆ หลังจากที่อังกฤษใช้มาตรการดังกล่าวมาเป็นระยะเวลา 7 สัปดาห์

 

·         ทางการของรัสเซียระบุว่า มีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่มากถึง 11,012 รายเมื่อวานนี้ ทำให้มีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 209,688 ราย โดยเมื่อวานนี้มีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงถึง 88 ราย และมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 1,915 ราย ซึ่งรัสเซียได้แซงหน้าฝรั่งเศสและเยอรมนีไปแล้ว โดยขณะนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุดเป็นอันดับที่ 5 ของโลก

 

·         ธนาคารกลางจีนจะทำการเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมและปรับนโยบายทางการเงินให้มีความยืดหยุ่นเพื่อช่วยลดความเสี่ยงทางการเงิน

อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางจีนยังไม่ได้กล่าวย้ำถึงรายละเอียดการใช้มาตรการดังกล่าว และยังคงมุมมองระยะยาวว่าเศรษฐกิจจีนจะดำเนินไปอย่างมีเสถียรภาพ แม้ว่าจะเผชิญกับการระบาดของไวรัสโคโรนาก็ตาม

 

·         ญี่ปุ่นจะรวบรวมทุนอีกครั้งเพื่อเพิ่มงบประมาณประจำปีนี้ในการต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่จากการระบาดของไวรัสโคโรนา โดยมีแผนว่าจะหารือในการประชุมรัฐสภาที่จะจัดขึ้นวันที่ 17 มิ.ย.นี้

 

·         น้ำมันดิบปิดปรับตัวขึ้นในคืนวันศุกร์ประมาณ 5% ท่ามกลางตลาดที่ให้ความสนใจกับภาวะอุปทานโลกหลังบรรดาผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่เห็นพ้องกันเรื่องการปรับลดกำลังการผลิต โดย WTI ปิด +1.19 เหรียญ ที่ 24.74 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ 8 เม.ย. ขณะที่ Brent ปิด +1.51 เหรียญ ที่ 30.97 เหรียญ/บาร์เรล

ภาพรวมน้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้นได้ประมาณ 25ตลอดช่วง 5 วันทำการที่ผ่านมา อันเนื่องจากตลาดให้ความสนใจต่อการปรับลดกำลังการผลิตและการประกาศผลประกอบการบริษัทไตรมาสแรก

 

·         สำหรับเช้านี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ฟิวเจอร์เปิดปรับลง 1โดยประมาณอันเนื่องจากตลาดถูกกดดันจากอุปสงค์น้ำมันที่อาจไม่ฟื้นตัวได้ดี จากการที่รัฐบาลบางส่วนที่เริ่มต้นผ่อนคลาย Lockdown และค่อยๆทยอยเปิดทำการบางแห่ง

น้ำมันดิบ Brent ฟิวเจอร์ เปิด -1.1% แถว 30.63 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ WTI ฟิวเจอร์สเปิด -1.4ที่ 24.39 เหรียญ/บาร์เรล





บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com