· ดัชนีฟิวเจอร์สสหรัฐฯยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อในเช้านี้ และมีการซื้อขายในระดับที่สูงขึ้นปานกลง หลังจากที่ 3 ดัชนีหลักอ่อนตัวเมื่อคืนนี้ ท่ามกลางความผันผวนอันเนื่องจากความไม่แน่นอนมากขึ้นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการรักษาผู้ป่วยไวรัสโคโรนาและวัคซีน รวมทั้งทิศทางเศรษฐกิจในช่วงกลับมาเปิดทำการ
วันนี้ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับขึ้น 168 จุด หลังจากที่เปิดขึ้นราว 190 จุด ด้านดัชนี S&P500 และ Nasdaq ฟิวเจอร์สก็เปิดแดนบวกในวันนี้ตาม
· ตลาดหุ้นเอเชียค่อนข้างทรงตัว ท่ามกลางราคาทองคำและพันธบัตรที่ปรับสูงขึ้นหลังตลาดเริ่มมีความไม่มั่นใจเกี่ยวกับการพัฒนาวัคซีน COVID-19 รวมไปถึงทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจเกิดขึ้นช้ากว่าที่คาด
โดยดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นค่อนข้างทรงตัวในวันนี้ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียที่เป็นมาตรวัดความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงอ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนที่ขึ้นไปเมื่อวาน ขณะที่ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่สูงขึ้นกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรกลับลงมาต่ำกว่า 0.7%
· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับสูงขึ้นในวันนี้ ท่ามกลางความหวังว่ารัฐบาลจะอนุญาตให้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจและกิจกรรมทางสังคมในเร็วๆนี้ หลังจากมีสัญญาณการชะลอตัวของอัตราการติดเชื้อไวรัสโคโรนาในประเทศ
โดยดัชนี Nikkei ปิด +0.8% ที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนครึ่งที่ 20,595.15 จุด นำโดยหุ้นกลุ่มสุขภาพและเทคโนโลยี
ทั้งนี้ ตลาดคาดการณ์ว่ารับบาลญี่ปุ่นจะยกเลิกภาวะฉุกเฉินสำหรับโอซาก้าและเกียวโตภายในวันพฤหัสบดีนี้ หลังอัตราการติดเชื้อใน 2 พื้นที่ดังกล่าวลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ของรัฐบาล
· ตลาดหุ้นจีนปิดลบ ท่ามกลางตลาดที่มีความระมัดระวังและชะลอการลงทุนลงเพื่อหันมาจับตาการประชุมรัฐสภาประจำปีที่จะเริ่มขึ้นในวันศุกร์นี้ ว่ารัฐบาลจะมีแผนสำหรับเศรษฐกิจในอนาคตเช่นไรบ้าง
โดยดัชนี Shanghai Composite ปิด -0.51% ที่ระดับ 2,883.74 จุด
ขณะที่ดัชนี Blue-chip CSI300 ปิด -0.53% โดยกลุ่มการเงิน -0.04% กลุ่มอุปโภคบริโภค -0.57% กลุ่มอสังหาฯ -1.21% และกลุ่มสุขภาพ -1.18%
· ตลาดหุ้นยุโรปเปิดแดนลบ ท่ามกลางความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่อ่อนแอลง โดยดัชนี Stoxx 600 เปิด -0.3% นำโดยหุ้นกลุ่มโทรคมนาคมที่ปรับลดลงไป 1% ทำให้หุ้นส่วนใหญ่เคลื่อนไหวแดนลบ ยกเว้นกลุ่มยานยนต์ที่ปรับขึ้นได้ 0.3%
อ้างอิงจากสำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ
- ไทยพบผู้ติดเชื้อ 'โควิด-19' เพิ่ม 1 ราย ไม่พบเสียชีวิตเพิ่ม
ศบค. แถลง ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 1 ราย ยอดผู้ป่วยสะสม 3,034 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 56 ราย ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 2,888 ราย
เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 63 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (ศบค.) แถลงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน ว่า ประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 1 ราย ยอดผู้ป่วยสะสม 3,034 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 56 ราย รักษาหายเพิ่ม 31 ราย ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 2,888 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 90 ราย
อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 3/2563 วันที่ 20 พ.ค. 63 มีมติ 4 ต่อ 3 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 0.75% เป็น 0.50% ต่อปี โดยให้มีผลทันที หลังแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อปีนี้หดตัวมากกว่าคาด ขณะที่ 3 เสียง เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.75% ต่อปี
- นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย.63 อยู่ที่ระดับ 75.9 ปรับตัวลดลงจากระดับ 88.0 ในเดือนมี.ค.63 โดยค่าดัชนีฯ ต่ำสุดในรอบ 11 ปี นับตั้งแต่เม.ย.52 เป็นการปรับตัวลดลงในทุกขนาดของอุตสาหกรรมทั้งขนาดย่อม ขนาดกลาง และขนาดใหญ่
โดยมีสาเหตุมาจากความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมโรคระบาดของภาครัฐ ส่งผลให้การใช้จ่ายและการบริโภคลดลงโดยเฉพาะสินค้าคงทน ขณะที่ผู้ประกอบการบางรายชะลอการผลิต การลงทุน และลดการจ้างงาน อีกทั้งยังประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง เนื่องจากขาดเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) นอกจากนี้ ปัญหาภัยแล้งที่มีความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อรายได้และกำลังซื้อในภาคเกษตร
- ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า จากการรวบรวมผลกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนไตรมาสที่ 1/2563 จำนวน 113 บริษัท พบว่ามีกำไรสุทธิรวม 7.87 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าที่ตลาดคาดว่าจะอยู่ที่1.11 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้มี 45 บริษัทผลประกอบการดีกว่าคาด, 41 บริษัทแย่กว่าคาด และ 27 บริษัทผลประกอบการตามคาด ทำห้นักวิเคราะห์ในตลาดเริ่มปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยทั้งปี 2563 ลงประมาณ 5.2% เหลือ 69.7 บาทต่อหุ้น และปรับลดประมาณการกำไรลง 3.3% เหลือ 85.6 บาทต่อหุ้น