· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงทำระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร หลังยูโรได้รับแรงหนุนจากการประกาศจัดตั้งกองทุนของยุโรปในรูปแบบสหภาพทางการเงินเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา
ฝรั่งเศสและเยอรมนีเสนอการจัดตั้งกองทุนมูลค่า 5 แสนล้านยูโร (5.43 แสนล้านเหรียญ) เพื่อเป็นกองทุนฟื้นฟูสำหรับภูมิภาคและภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตไวรัสโคโรนาและการอนุญาตการกู้ยืมมากขึ้นโดยคณะกรรมาธิการอียูในนามตัวแทนสหภาพยุโรป
นอกจากนี้ ข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคของเยอรมนีที่ปรับตัวขึ้นเกินคาดในเดือนพ.ค. โดยค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้น +0.54% ที่ 1.0983 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นสูงสุดตั้งแต่ 1 พ.ค.
ค่าเงินดอลลาร์ยังคงปรับตัวได้เหนือแนวรับจากรายงานประชุมเฟดที่สะท้อนถึงการที่สมาชิกเฟดเห็นพ้องกันในการจะใช้เครื่องอย่างเหมาะสมเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและการตรึงระดับดอกเบี้ย ด้านดัชนีดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลง 0.42% ที่ 99.138 จุด และถือเป็นการอ่อนค่าลงต่อเนื่อง 3 วันทำการ
· รายงานประชุมเฟดสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นอย่างมากของกลุ่มผู้ติดเชื้อที่นำไปสู่ความไม่แน่นอนและการพิจารณาความเสี่ยงจากการระบาดของไวรัสโคโรนา
รายงานประชุมเฟดเมื่อคืนนี้มีการเรียกร้องมาตรการในการดำเนินการช่วยเหลือเศรษฐกิจจากความกังวลว่าการระบาดของไวรัสจะส่งผลกระทบที่ยาวนานเกินไป รวมทั้งการระบาดระลอกสอง และผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับกลุ่มภาคครัวเรือนรายได้น้อย
อย่างไรก็ดี ในรายงานประชุมเฟดไม่ได้ระบุว่าเมื่อไหร่ที่จะดำเนินมาตรการเพิ่มเติม แต่ค่อนข้างแน่ชัดในเรื่องการเข้าซื้อสินทรัพย์ที่อาจจำเป็นต้องเกิดขึ้นต่อในช่วงสิ้นปีนี้
หลังจากที่เฟดปรับลดดอกเบี้ยใกล้ระดับศูนย์ ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโคโรนา บรรดาสมาชิกเฟดเองก็มีมติคงดอกเบี้ยในกรอบ 0 – 0.25% และจะไม่ทำการเปลี่ยนแปลงใดๆจนกว่าจะเห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งบรรดาสมาชิกเฟดกล่าวเพิ่มว่าในระยะสั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้รับแรงกดดันจากการระบาดที่มากขึ้น รวมทั้งทำให้เราพิจารณาถึงความเสี่ยงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะกลาง โดยเฉพาะการอาจเห็นยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นในช่วงปลายปีนี้
นอกจากนี้ เฟดยังมีมุมมองเชิงลบเพิ่มมากขึ้นว่าการรีบาวน์ทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นได้ก็ขึ้นอยู่กับทิศทางการฟื้นตัว ขณะที่ความน่ากลัวอีกหนึ่งสิ่งคือระดับการว่างงานที่กลายมาเป็นการนับแยกจากกลุ่มคนถูกพักงาน ซึ่งการว่างงานจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจอยู่ในภาวะขาลง และมีแนวโน้มว่าจะเห็นทิศทางที่ย่ำแย่มากขึ้นกว่าครั้งประวัติศาสตร์ในช่วงไตรมาสที่ 2/2020
· ประธาน Moderna ชี้ บริษัทฯจะปล่อยข้อมูลการพัฒนาวัคซีนตาม “ความเป็นจริง”
ประธานบริษัท Moderna กล่าวยืนยันว่าทางบริษัทฯจะปล่อยข้อมูลการพัฒนาวัคซีน COVID-19 ตาม “ความเป็นจริง” ซึ่งเป็นถ้อยแถลงที่เกิดขึ้นหลังจากมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญบางรายว่า ข้อมูลของวัคซีนที่ทางบริษัทปล่อยออกมา ไม่ได้รวมข้อมูลที่มีความสำคัญสำหรับการประเมินประสิทธิภาพในการต่อต้านไวรัส COVID-19 แต่อย่างใด ซึ่งเสียงวิจารณ์ดังกล่าวเป็นปัจจัยที่กดดันให้หุ้นสหรัฐฯร่วงลงเมื่อคืนก่อน
· ทรัมป์เปิดกว้างต่อการประชุม G7 เดือนมิ.ย.แบบเผชิญหน้า แม้จะอยู่ในช่วงการระบาดของไวรัสก็ตาม
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวถึงการจะกลับมาเปิดประชุมแบบ Face-to-Face ในการประชุมกลุ่มผู้นำ G7 หลังจากที่มีการยกเลิกจัดประชุมไปในช่วงการระบาดของไวรัสโคโรนา เนื่องจากหลายๆประเทศสมาชิกนั้นเริ่มมีการกลับมาเปิดทำการได้ และนั่นเป็นสัญญาณที่ดีว่าทั้งหมดนั้นจะกลับสู่ภาวะปกติ
· ทรัมป์กำลังพิจารณาแบนการเดินทางบราซิล หลังยอดผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งเป็นประวัติการณ์
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่ากำลังพิจารณาที่จะคว่ำบาตรการเดินทางไปยังบราซิล ที่พบผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนารายวันที่เพิ่มมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ แต่ทั้งนี้ นายทรัมป์ก็จะพิจารณาจากข้อมูลต่อไป
· สถานการณ์การระบาดในบราซิลเลวร้าย และยอดผู้ติดเชื้ออาจพุ่งเป็นอันดับที่ 2 ของโลก
สถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาในประเทศบราซิลดูจะเลวร้าย และจะส่งผลให้ชาวอมเริกาใต้อาจเผชิญกับยอดผู้ติดเชื้อมากที่สุดเป็นลำดับที่ 2 ของโลกได้ หลังมีรายงานพบผู้เสียชีวิตใหม่รายวันพุ่งขึ้นกว่า 888 ราย และมียอดติดเชื้อในวันเดียวเกือบ 20,000 ราย
ทั้งนี้ บราซิลถือเป็นประเทศที่มีการติดเชื้ออยู่ลำดับที่ 3 รองจากสหรัฐฯและรัสเซีย
จะเห็นได้ว่ายอดผู้ติดเชื้อในรัสเซียพุ่งทะลุ 300,000 รายเป็นที่เรียบร้อยแล้ววานนี้ และกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวสูงขึ้นหลังจากที่สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวลดลงในรอบกว่า 1 สัปดาห์ แต่ภาพรวมการขึ้นก็เป็นไปอย่างจำกัดจากนักลงทุนที่กังวลต่อการปรับตัวลดลงทางเศรษฐกิจจากการระบาดของไวรัส
น้ำมันดิบ Brent ปิด +1.10 เหรียญ หรือ +3.2% ที่ 35.75 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 1.53 เหรียญ คิดเป็น +4.8% ที่ระดับ 33.49 เหรียญ/บาร์เรล
เมื่อวานนี้ รายงานจาก EIA เผย สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวลดลงไป 5 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์ที่ผ่านมา