· อัตราการเสียชีวิตของการติดเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯพุ่งสูงกว่า 100,000 ราย ท่ามกลางการกลับมาเปิดทำการในภาคธุรกิจของสหรัฐฯหลังจากที่เผชิญการ Lockdown มาในช่วง 2 สัปดาห์
· ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร โดยได้รับแรงหนุนจากข่าวขอ้เสนอแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจยูโรโซนจากไวรัสโคโรนา โดยที่ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.03% ที่ 1.09855 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ไปทำสูงสุดที่ 1.10315 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับแข็งค่ามากสุดตั้งแต่ 1 เม.ย.
คณะกรรมาธิการอียูเผยแผนเพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 7.5 แสนล้านยูโร (8.2553 แสนล้านเหรียญ) จากวิกฤตไวรัสโคโรนา
ค่าเงินเยนอยู่ภายใต้แรงกดดันจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่อาจกระทบความหวังที่จะเห็นการรีบาวน์ทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วอันเนื่องจากการได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา
ความกังวลเกี่ยวกับสหรัฐฯจะตอบโต้จีนเรื่องกฎหมายความมั่นคงฮ่องกง ด้านนายไมค์ ปอมเปโอ กล่าวถึงฮ่องกงที่ไม่ได้มีอิสระในการปกครองตนเองจากจีนอีกต่อไป จึงอาจกระทบกับสถานะพิเศษของฮ่องกง ซึ่งได้รับการเอื้อประโยชน์ทางการค้ากับสหรัฐฯ
ค่าเงินหยวนอ่อนค่าทำต่ำสุดบริเวณ 7.1966 หยวน/ดอลลาร์ หลังเผชิญความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีน และนักวิเคราะห์บางรายมองว่าในอีก 1 ปี ค่าเงินหยวนน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 6.8 – 7.2 หยวน/ดอลลาร์
ค่าเงินปอนด์ร่วงต่ำกว่า 1.23 ดอลลาร์/ปอนด์ ท่ามกลางนักลงทุนที่ให้ความสนใจต่อความเป็นไปได้ที่จะเห็นบีโออีทำการปรับลดดอกเบี้ยสู่ระดับติดลบ และถ้อยแถลงจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่ไม่มีความคืบหน้ามากนักเรื่องเจรจา Brexit
· ส.ส.สหรัฐฯทำการผ่านร่างการคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จีนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิชาวอุยกูร์ จึงยิ่งเพิ่มแรงตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนต่อ และกำลังส่งต่อให้แก่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯลงนามต่อ โดยที่ยังไม่รู้ว่าเขาจะมีทิศทางอย่างไรต่อกฎหมายนี้
นอกจากนี้ นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มีท่าทีจะลดสัมพันธ์ทางการค้ากับฮ่องกง จากกรณีกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ของจีน
จีนเองก็มีการกล่าวเตือนจะทำการตอบโต้การคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และปฏิเสธถึงข้อกล่าวหาการล่วงละเมิดสิทธิในค่ายแรงงานของชาวอุยกูร์
อย่างไรก็ดี ร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบเมื่อวานนี้ จะส่งต่อให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยจะมีผลเป็นเวลา 80 วันสำหรับการคว่ำบาตรรายชื่อเจ้าหน้าที่จีน
· อียูเสนอแผนอัดฉีด 8.25 แสนล้านเหรียญ สำรหับงบช่วยเหลือยุโรป ซึ่งถือเป็นการเพิ่มเม็ดเงินก้อนใหญ่ครั้งแรก!
บรรดาผู้นำอียูเผยแผนงบประมาณช่วยเหลือวงเงิน 8.25 แสนล้านเหรียญที่หากได้รับการอนุมัติจากประเทศสมาชิก 27 แห่ง แผนดังกล่าวจะเป็นมาตรการครั้งประวัติศาสตร์ ที่ช่วยกระชับระบบการเงินของประเทศสมาชิก
นอกจากนี้ น่าจะทำให้เกิดการถ่ายโอนความมั่งคั่งที่แตกต่างภายในกลุ่มอียูอีกด้วย ซึ่งแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจฉบับนี้ เป็นไปตามแผนที่เสนอร่วมกันโดยฝรั่งเศสและเยอรมนี ซึ่งคิดไว้ว่าจะระดมเงินจากการออกพันธบัตรร่วมกันของกลุ่มสหภาพยุโรปเอง
อย่างไรก็ดี คณะกรรมาธิการยุโรปเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินรวม 1.85 ล้านล้านยูโรสำหรับงบประมาณระยะยาวของอียู ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูวงเงิน 7.5 แสนล้านยูโร เพื่อช่วยเยียวยาเศรษฐกิจของชาติสมาชิกอียูจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ภายใต้ชื่อ Next Generation EU โดยจะอยู่ภายในงบประมาณระยะยาวของอียู ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ซึ่งโดยรวมแล้ว แผนฟื้นฟูยุโรปฉบับนี้ (European Recovery Plan) จะใช้วงเงิน 1.85 ล้านล้านยูโรในการกระตุ้นเศรษฐกิจของเรา และสร้างความเชื่อมั่นว่ายุโรปจะเดินหน้าต่อไป
· น้ำมันร่วงลงกว่า 4% ปิดแดนลบวันที่ 2 จากตึงเครียดสหรัฐฯ-จีน
น้ำมันดิบ Brent ปิด -1.43 เหรียญ หรือ -3.95% ที่ 34.74 เหรียญ/บาร์เรล ด้านน้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 1.54 เหรียญ หรือ -4.48% ที่ 32.81 เหรียญ/บาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลังนายทรัมป์มีท่าทีแข็งกร้าวต่อการจะตอบโต้จีนเกี่ยวกับกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฮ่องกง ขณะที่เทรดเดอร์บางรายไม่มั่นใจว่ารัสเซียจะปรับลดกำลังการผลิตได้มากจริงหรือไม่ แต่รายงานล่าสุดที่ว่า นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ร่วมกับมกุฎราชกุมารของซาอุดิอาระเบียมีการเห็นพ้องกันทางโทรศัพท์ที่ใกล้บรรลุข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตร่วมกันได้
ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า ข่าวนี้ถือเป็นข่าวดี แต่การปราศจากรายละเอียดที่ชัดเจนเรื่องการปรับลดกำลังการผลิตดูจะยังเป็นปัจจัยจลบต่อตลาดเนื่องจากยังไม่รู้ว่าจะปรับลดกำลังการผลิตมากในจำนวนเท่าไร
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยังดำเนินต่อไป ประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจที่ไม่สดใส อันเนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรนา