· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับตัวขึ้นท่ามกลางการปรับขึ้นอย่างแข็งแกร่งในสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้น โดยดัชนีดาวโจนส์ปิด +153.5 จุด หรือ +0.6% ปิดที่ 26,024.96 จุด ทางด้านดัชนี Nasdaq ปิดปรับขึ้น 1.1% ที่ 10,056.47 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด +0.7% ที่ 3,117.86 จุด
ทั้งนี้ ดัชนีปรับตัวลงไปบางส่วนหลังจากที่ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส กล่าวว่า ยอดผู้ติดเชื้ออยู่ในระดับที่ไม่อาจรับได้ ทางการจึงมีการสั่งคุมเข้มป้องกันการระบาดของโรคมากขึ้น แนะให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎกระทรวงสาธารณสุขเคร่งครัด
หุ้นบริษัท Apple ปรับตัวขึ้นไปกว่า 2% และมีการทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลังจากที่บริษัทมีการเปิดเผยระบบปฏิบัติการ iOS ใหม่ล่าสุด พร้อมกับประกาศเตรียมชิปของตัวเองแทนชิป Intel ใน Mac ชูจุดเด่นด้านสมรรถนะและการใช้งานแอปฯ ได้ทั้ง macOS และ iOS
อย่างไรก็ดี จำนวนยอดผู้ติดเชื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วสหรัฐฯ และในหลายๆประเทศ ก็ดูจะทำให้เกิดคำถามว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้อย่างไร
· หุ้นยุโรปปิดร่วง หลังจากที่ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาพุ่ง ดัชนีบริษัท Wirecard ดิ่ง -44%
หุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงในวันนี้ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ตอบรับกับการเพิ่มขึ้นของไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯ และความกังวลเกี่ยวกับยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในเยอรมนี
ดัชนี Stoxx600 ปิด -0.7% ขณะที่หุ้นส่วนใหญ่เคลื่อนไหวแดนลบ
· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากดัชนี Nasdaq ปิดแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยดัชนี Nasdaq ปิดแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้น 1.1% ที่ระดับ 10,056.47 จุด ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 153.50 จุด หรือคิดเป็น 0.6% ปิดที่ระดับ 26,024.96 จุด และดัชนี S&P 500 ปิดเพิ่มขึ้น 0.7% ที่ระดับ 3,117.86 จุด
ดัชนี Kospi เพิ่มขึ้น 1.2% ในช่วงต้นการซื้อขาย โดยดัชนี Nikkei เพิ่มขึ้น 0.86% ด้านดัชนี Topix ปรับตัวสูงขึ้น 0.61%
ขณะที่ดัชนี S&P/ASX 200 ออสเตรเลีย เพิ่มขึ้น 0.47%
ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 0.38%
· นักบริหารเงิน คาดว่าวันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 30.90-31.10 บาท/ดอลลาร์ โดยค่าเงินบาทยังค่อนข้างนิ่งๆ คาดว่าตลาดรอดูการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ช่วงกลางสัปดาห์นี้ ขณะที่มาตรการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขอให้ธนาคารพาณิชย์งดการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานในปี 63 และงดซื้อหุ้นคืนนั้น ไม่ได้มีผลต่อความเคลื่อนไหวของค่าเงินเท่าใดนัก
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงผลที่คาดหวังจากการเสริมสร้างเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ประกอบด้วย 1.เพื่อให้มีเงินทุนในการให้สินเชื่อแก่ประชาชนและภาคธุรกิจได้เพิ่มขึ้น และสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงฟื้นตัวหลังโควิด-19 2.เพื่อเป็นกันชนรองรับความไม่แน่นอนในอนาคตที่จะเกิดขึ้น และ 3.เพื่อให้ระบบสถาบันการเงินมีระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ฝากเงินและผู้ลงทุน
- ธปท. ได้สั่งการให้สถาบันการเงิน ประเมินและจัดทำแผนบริหารจัดการระดับเงินกองทุนในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า โดยพิจารณาจากแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต ตลอดจนศักยภาพของลูกหนี้ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง โดยแต่ละสถาบันการเงินจะต้องส่งแผนดังกล่าวให้ ธปท.ภายในสิ้นเดือนก.ค.นี้
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุถึงมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 2 ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งจะเน้นดูแลในเรื่อง "ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้บุคคลรายย่อย" โดยเน้นการ "ลดดอกเบี้ยสำหรับลูกหนี้รายย่อย" ของแบงก์และนอนแบงก์ สำหรับผลต่อธนาคารพาณิชย์นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยตามมาตรการเฟส 2จะมีผลกระทบผ่าน 2 ช่องทางต่อรายได้ดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ เบื้องต้น คาดว่า ผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ลูกค้ารายย่อยจะอยู่ที่ประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 0.8-1.5% ของรายได้ดอกเบี้ยของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในไตรมาส 3/63
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% เพื่อรอดูประสิทธิผลของมาตรการการเงินการคลังที่ได้ออกไปก่อนหน้านี้ ทั้งการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา มาตรการช่วยเหลือทางการเงิน เช่น การพักชำระหนี้ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการปรับโครงสร้างหนี้ เป็นต้น รวมถึงมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆต่อการช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19และช่วยประคับประคองภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนให้ผ่านวิกฤติครั้งนี้
- ผู้อำนวยการเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า การลงทะเบียนใช้สิทธิตามมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศจากที่ได้ประชุมหารือร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และธนาคารกรุงไทย (KTB) เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้น ยังไม่ได้ข้อสรุปจึงได้มอบหมายให้ ททท.กลับไปพิจารณาขั้นตอนการลงทะเบียนให้เหมาะสมมากขึ้นก่อนสรุปเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ เพื่อให้ทันเปิดลงทะเบียนในวันที่ 1 ก.ค.