• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 3 กรกฎาคม 2563

    3 กรกฎาคม 2563 | SET News
 

· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับตัวขึ้นหลังจากที่จ้างงานสหรัฐฯพุ่งเป็นประวัติการณ์

ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับขึ้น โดย Nasdaq ปิดทำ All-Time High ต่อจากกลุ่มนักลงทุนที่เข้าสู่วันหยุดยาว ขณะที่เมื่อคืนนี้มีการรับข่าวการจ้างงานสหรัฐฯที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ทำให้นักลงทุนมั่นใจที่จะเห็นเศรษฐกิจสหรัฐฯกลับมาอยู่ในสถานะการฟื้นตัวได้

นอกจากนี้ กลุ่มนักลงทุนยังคงเฝ้ารอคอยรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของบริษัทต่างๆ โดยนักวิเคราะห์บางส่วนคาดว่า ผลประกอบการบริษัทในกลุ่มของ S&P จะปรับลงประมาณ 43.1% อันเนื่องจากอุปสงค์ที่ลดลง และอุปสรรคที่เกิดขึ้นต่อห่วงโซ่อุปทาน

ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับขึ้น 92.39 จุด หรือ +0.36% ที่ระดับ 25,827.36 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด +0.45% ที่ 3,130.01 จุด และ Nasdaq ปิด +0.52% ที่ 10,207.63 จุด

ดัชนีมาตรวัดความผันผวนหรือ VIX ปรับตัวลงรายสัปดาห์มากที่สุดตั้งแต่ที่สิ้นสุดสัปดาห์เมื่อ 8 พ.ค.

ขณะที่หุ้นบริษัท Moderna ปรับตัวลงไปกว่า 9.4% วานนี้ หลังจากที่มีรายงานว่าการทดลองวัคซีน Covid-19 ในขั้นตอนท้ายดูจะมีความล่าช้าออกไปอีกหลายสัปดาห์


· ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางข่าวเชิงบวกเกี่ยวกับการพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาและตัวเลขภาคแรงงานของสหรัฐฯที่ออกมาดีเกินคาด

โดยดัชนี Stoxx600 ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 1.9% ด้านหุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งสูงขึ้น 4.5% ท่ามกลางตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่ที่ยังคงเคลื่อนไหวในแดนบวก


· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นในเช้าวันนี้ หลังจากข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯออกมาดีกว่าที่คาด จึงช่วยเพิ่มมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับโอกาสของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากการระบาดไวรัสโคโรนา

เหล่านักลงทุนให้ความสนใจไปยังรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ที่เผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯประจำเดือนมิ.ย.ที่พุ่งขึ้น 4.8 ล้านคน ขณะที่ อัตราการว่างงานลดลงเหลือ 11.1% ซึ่งต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ 12.4%

อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงานยังกล่าวอีกว่าการเรียกร้องผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเพิ่มขึ้น 1.427 ล้านคนในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 27 มิถ.ย. ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์สำรวจโดย Dow Jones คาดว่าผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นอีก 1.38 ล้านคน

สำหรับวันนี้จะมีการประกาศข้อมูลทางเศรษฐกิจของจีน ได้แก่ ข้อมูล ดัชนี PMI ภาคการบริการเอกชนของจีน โดยสถาบัน Caixin

โดยเช้านี้ ดัชนี Nikkei และดัชนี Topix เพิ่มขึ้น 0.55% ด้านดัชนี Kospi เกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 0.46%

ดัชนี S&P/ASX 200 ปรับขึ้น 0.33%

ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้น 0.13%


· นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ระหว่าง 31.00-31.20 บาท/ดอลลาร์

· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นดือนที่ 2 หลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ แต่ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับ

ตั้งแต่ทำการสำรวจมาในรอบ 21 ปี 9 เดือน เบื้องต้นศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะหดตัวมากขึ้นเป็น -8 ถึง - 10% จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ -3.5 ถึง -5% ส่วนการส่งออกไทยปีนี้คาดว่าจะหดตัวในระดับ -8 ถึง -10% เช่นกัน ทั้งนี้ ม.หอการค้าไทยจะแถลงปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 63 อย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันที่ 16 ก.ค.นี้

- อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ของไทย เปิดเผยว่า การใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) และการใช้สิทธิประโยชน์สำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ช่วง 4 เดือนของปี 63 (ม.

ค.-เม.ย.) ว่า มีการใช้สิทธิประโยชน์ฯ รวมมูลค่า 21,340.04 ล้านเหรียญ ลดลง 12.08% มีสัดส่วนการใช้สิทธิประโยชน์ฯ 78.11% ของการใช้สิทธิทั้งหมด

- นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมหารือมาตรการเศรษฐกิจ ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังไปหามาตรการกระตุ้นการบริโภค และหารือกับกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา

เพื่อหามาตรการเสริมด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งพิจารณาแนวทางการพักชำระหนี้ระยะยาวตามคำขอภาคเอกชน

- หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ เปิดเผยว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นที่มีการดำเนินงานอยู่ในประเทศไทย ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 35 ปี เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

· อ้างจากสำนักข่าว Bright Today

- นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) มีมติปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ตลอดทั้งปีนี้เป็นติดลบ 8% ถึงติดลบ 5% ทั้งนี้ จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าจะติดลบ 5% ถึงติดลบ 3% ขณะที่การส่งออกจะติดลบ 10% ถึงติดลบ 7% จากเดิมคาดการณ์ไว้ว่าจะติดลบ 10% ถึงติดลบ 5% และเฟ้อคาดว่าติดลบ 1.5% ถึงติดลบ 1% เพราะประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน และไตรมาส 2 ก็คาดว่าจีดีพีจะหดตัวลงลึกสู่อัตราเลขสองหลัก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเทศไทยจะคลายล็อกดาวน์ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายๆ ธุรกิจกลับมาสู่ภาวะปกติ แต่กำลังซื้อของคนไทยยังอ่อนแรง ส่วนการส่งออกยังเผชิญความไม่แน่นอนจาก โควิด19 ในบางประเทศที่ยังรุนแรงและไม่มีทีท่าว่าจะจบเมื่อใด ทำให้การส่งออก การท่องเที่ยวของไทยยังชะลอตัว และสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ยังมีความผันผวน ทำให้เป็นปัจจัยกดดันตัวเลขการส่งออก ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากปัจจัย การแข็งค่าของเงินบาท ที่รวดเร็วกว่าสกุลเงินอื่นๆในภูมิภาคนี้ และอาจแข็งค่าต่อเนื่องไปจนสิ้นปี

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com