• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 9 กรกฎาคม 2563

    9 กรกฎาคม 2563 | SET News
   

· ตลาดหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งสูงขึ้น

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

รวมทั้งตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ญี่ปุ่น ฮ่องกง และออสเตรเลียปรับตัวสูงขึ้น

ด้านหุ้นสหรัฐฯได้ฟื้นตัวจากการขาดทุนส่วนใหญ่ในปีนี้ ที่ช่วยผลักดันราคาโลก แม้ว่าจะมีจำนวนยอดผู้ติดเชื้อจากไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นก็ตาม ซึ่งกดดันการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางเหล่านักลงทุนกำลังเข้าซื้อหุ้นเทคโนโลยีและบริษัทอื่น ๆ ที่พวกเขาคาดว่าจะแข็งแกร่งขึ้นจากการชะลอตัวทั่วโลก

ด้านมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับการกลับมาเปิดทำการอีกครั้งของเศรษฐกิจสหรัฐฯเพิ่มขึ้น ท่ามกลางยอดผู้ติดเชื้อจากไวรัสกำลังเพิ่มขึ้นทั่วภาคใต้และตะวันตก ขณะที่รัฐบาลได้อนุญาตให้รัฐบางแห่งกลับมาเปิดร้านอาหารและธุรกิจอื่น ๆ อีกครั้ง

ทั้งนี้ บริษัทใหญ่ ๆจะรายงานผลประกอบการรายไตรมาสในสัปดาห์หน้า โดยคาดว่าผลประกอบการจะออกมาลดลง


· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นฟื้นตัวขึ้น ขณะที่ยังถูกกดดันจากยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่พุ่งสูงขึ้

ตลาดหุ้นญี่ปุ่นฟื้นตัว โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี การปรับตัวสูงขึ้นยังคงถูกจำกัดจากยอดผู้ติดเชื้อจากไวรัสโคโรนาที่เพิ่มสูงขึ้น

โดยดัชนี Nikkei เพิ่มขึ้น 0.4% ที่ระดับ 22,529.29 จุด หลังลดลง 0.78% ในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งตลาดขยายตัวเพิ่มขึ้นหลังจากช่วงพักเที่ยงได้รับแรงหนุนจากหุ้นเซี่ยงไฮ้ที่ขยับขึ้นติดต่อกันในรอบ 8 วัน ขณะที่ดัชนี Topix ทรงตัวบริเวณ 1,557.27จุด

อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นของเหล่านักลงทุนถูกกดดันจากรายงานยอดผู้ติดเชื้อจากไวรัสโคโรนารายใหม่เพิ่มขึ้น 224 รายในวันเดียว ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดรายวันนับตั้งแต่ที่พบการแพร่ระบาดในเมืองหลวงของญี่ปุ่น

ท่ามกลางตลาดที่มีปฏิกิริยาตอบสนองเพียงเล็กน้อยต่อข้อมูลยอดคำสั่งซื้อเครื่องจักรญี่ปุ่นประจำเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 1.7% หลังจากที่ร่วงลง 12.0% ในเดือนเม.ย.เนื่องจากการระบาดของไวรัสดังกล่าว

ทั้งนี้ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีในประเทศปรับตัวสูงขึ้นหลังจากดัชนี Nasdaq ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งที่ 4 ในรอบ 5 วันที่ผ่านมา โดยกลุ่มบริษัทด้านเทคโนโลยีและกลุ่มบริษัท Nikkei heavyweight SoftBank Group เพิ่มขึ้น 4.52%

· ตลาดหุ้นจีนปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกัน 8 วันทำการ โดยได้รับแรงหนุนจากสภาพคล่องการสนับสนุนนโยบายและนักลงทุนรายย่อย

แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเข้ามากำกับดูแลเกี่ยวกับการให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ขณะที่สื่อภายในประเทศ กล่าวเตือนว่า ความเสี่ยงในตลาดและลงทุนด้วยความระมัดระวัง

ดัชนี Shanghai Composite เพิ่มขึ้น 1.39% ที่ระดับ 3,450.59 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. ปี 2018 ขณะที่ดัชนีกลุ่มบลูชิพ CSI300 เพิ่มขึ้น 1.4% ซึ่งเป็นระดับสูงุสดนับตั้งแต่เดือนก.ค. ปี 2015 ที่ผ่านมา


· นักลงทุนจีนเพลินกับตลาดขาขึ้น ดันราคาวันแรกของหุ้น IPO ปรับขึ้น 924% เป็นประวัติการณ์

บริษัท QuantumCTek Co., เป็นบริษัทน้องใหม่ที่เข้า IPO ในประเทศจีน ปรับสูงขึ้น 924% จากราคาเปิด หรือปรับสูงขึ้นเกือบ 10 เท่า ส่งสัญญาณว่าตลาดหุ้นจีนอยู่ในภาวะที่นักลงทุนเพลินกับตลาดขาขึ้น

ภาวการณ์ซื้อขายหุ้นอย่างบ้าคลั่งเกิดขึ้น เมื่อราคาและมูลการซื้อขายปรับสูงขึ้นอบ่างรวดเร็วในตลาดหุ้นจีน โดยมูลค่าตลาดหุ้นจีนปรับขึ้นกว่า 1 ล้านล้านเหรียญในเดือนกรกฎาคมนี้

· ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางเหล่านักลงทุนที่ให้ความสนใจไปยังการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและฤดูกาลการรายงานผลประกอบการของภาคบริษัท

โดยดัชนี Stoxx60 เพิ่มึข้น 0.6% ด้านหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 1.8% ขณะที่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคลดลง 0.3%

· อ้างอิงสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- โฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า สถานการณ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ(สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) ในเดือนพฤษภาคม 2563 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดือนเมษายน 2563 มากนัก ถึงแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จะลดความรุนแรงลงไปบ้างแล้วก็ตาม โดยในเดือนพฤษภาคม 2563 มีจำนวน ผู้สนใจยื่นขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์สะสมสุทธิ 1,199 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2563 จำนวน 5 ราย


- รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีความกังวลต่อตัว เลขนักศึกษาจบใหม่ปีการศึกษา 2563 จำนวน 500,000 คน ที่อาจกลายเป็นผู้ว่างงานถาวรจากผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทำให้นาย จ้างไม่มีนโยบายรับคนเพิ่ม แม้รัฐจะผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์สู่เฟส 5 ทำให้ธุรกิจเริ่มกลับมาดำเนินกิจการปกติ แต่ภาพรวมธุรกิจไม่ได้ กลับมาปกติ ส่งผลให้แรงงานไม่รวมเด็กจบใหม่ยังคงว่างงานประมาณ 3.5-3.6 ล้านคน

- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า เงินฝากไตรมาส 2 ที่ผ่านมาคาดเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก 3.4 แสนล้านบาท เติบโต 2.4% มียอดเงินฝากคงค้าง 14.35 ล้านล้านบาท และถ้าเทียบกับไตรมาส 2 ปี 62 เงินฝากจะเติบโตสูงถึง 12% สูงสุดในรอบ 9 ปีนับ

ตั้งแต่ปี 55 โดยถือว่าเติบโตต่อเนื่องในครึ่งปีแรก เนื่องจากคนยังกังวลต่อความเสี่ยงที่ยังไม่แน่นอน ทำให้ประชาชนรายย่อยและภาคธุรกิจ เลือกที่จะเก็บเงินสดหรือเก็บสภาพคล่องไว้ก่อน เพราะยังไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร และส่วนหนึ่งได้ขายสินทรัพย์เสี่ยงมาเก็บไว้บัญชีเงิน ฝากซึ่งถือว่าปลอดภัยที่สุดแม้ดอกเบี้ยจะต่ำก็ตาม แต่ความเสี่ยงของเศรษฐกิจยังมีอยู่

- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ในเดือน มิ.ย.ว่า ค่อน ข้างทรงตัว มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยรายวันมีความคึกคักมาก เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 77,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและสูงสุดในรอบ 30 เดือน

- ปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.เปิดเผยว่า สำหรับการเปิดเส้นทางบินระหว่างประเทศขณะนี้ยังคาดเดาสถานการณ์ไม่ได้ โดยที่ผ่านมา ศบค.ได้มีการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิดว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร โดยจะยึดหลักการของสาธารณสุขนำ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ละเอียดแม้ว่ามาตรการทางด้านสาธารณสุขจะมีการสวมหน้ากาก แต่วันนี้ยังไม่มีวัคซีน ดังนั้นต้องรอให้ ศบค.เป็นผู้พิจารณา

- นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ว่า พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศที่พักอยู่ใน State Quarantine ส่วนในประเทศไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อเนื่องเป็นเวลา 45 วันนับตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.เป็นต้นมา

สำหรับผู้ป่วยยืนยันสะสมล่าสุดอยู่ที่ 3,202 ราย เป็นผู้ป่วยในประเทศ 2,444 ราย และผู้ป่วยใน State Quarantine จำนวน 265 ราย วันนี้มีผู้หายป่วยเพิ่ม 11 ราย ทำให้จำนวนผู้ป่วยรักษาหายแล้วรวม 3,085 ราย และยังมีผู้ป่วยรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 59 ราย ขณะที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม โดยยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 58 ราย

· อ้างอิงจากสำนักข่าว Bright Today

- บลูมเบิร์ก สื่อด้านเศรษฐกิจชื่อดังของโลกได้รายงานว่า แม้ไทยจะเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด19 หลังไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศติดต่อกันเป็นเวลากว่า 40 วัน แต่อนาคตเศรษฐกิจของไทยถือว่ามืดหม่นที่สุดในเอเชีย

จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพีจะลดลงถึงร้อยละ 8.1 ในปีนี้ ซึ่งถือเป็นตัวเลขประเมินทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายกว่าประเทศอื่นๆในเอเชีย และอาจเป็นตัวเลขจีดีพีที่ลดลงมากที่สุดของประเทศไทย ซึ่งอาจเป็นตัวเลขที่ดิ่งต่ำกว่าช่วงวิกฤตทางเศรษฐกิจต้มย้ำกุ้งเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา

· อ้างอิงจากสำนักข่าวข่าวสดออนไลน์

- นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวในงานเสวนา แนะทางออกไทยหลังโควิด ครั้งที่ 2 ที่สมาคมนักข่าว จัดโดย สภาที่ 3 ว่า ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ลงมาที่ติดลบ - 10.3% โดยคาดว่าเศรษฐกิจไตรมาส 2 จะติดลบมากถึง -17%

และไทยต้องใช้เวลาถึง 3 ปีในการฟื้นกลับมาที่เดิม ซึ่งที่เดิมก็ยังถือว่าแย่มาก ดังนั้นการที่ไทยจะสามารถฟื้นเศรษฐกิจกลับมาเข้มแข็งได้จะต้องมีผู้นำที่ฉลาดและมีวิสัยทัศน์ ผู้นำที่บริหารประเทศมากว่า 6 ปี เศรษฐกิจขยายตัวต่ำเตี้ย

· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- ในเดือนพ.ค. ปี 63 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ) หดตัวร้อยละ 33.78 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยานรบ) หดตัวร้อยละ 35.44 โดยสินค้าอุตสาหกรรมที่การส่งออกหดตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ(หักทอง) ด้านตลาดส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ยังคงขยายตัวได้มีเพียงประเทศจีน ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดสหภาพตลาดยุโรป (27) อาเซียน (5) CLMV ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกาหดตัวลง

ขณะที่การส่งออกรวมมีมูลค่า 16,278.39 ล้านเหรียญ หดตัวร้อยละ 22.50 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เมื่อพิจารณาการส่งออกในหมวดสินค้าสำคัญพบว่า สินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่า12,123.75 ล้านเหรียญ หดตัวร้อยละ 27.0 สินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า 10,900.52 ล้านเหรียญ หดตัวร้อยละ 33.78 โดยหดตัวจากรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ(หักทอง) เป็นต้น ในส่วนสินค้าเกษตรกรรม มีมูลค่า 2,180.12 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 14.11 สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร มีมูลค่า 2,160.08 ล้านเหรียญ หดตัวร้อยละ 10.28 การนำเข้ามีมูลค่ารวม 13,583.81 ล้านเหรียญ หดตัวร้อยละ 34.41 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้าเชื้อเพลิงมีมูลค่า1,161.81 ล้านเหรียญหดตัวร้อยละ 69.96 สินค้าทุนมีมูลค่า 3,865.01 ล้านเหรียญ หดตัวร้อยละ 25.19 โดยหดตัวจากเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ด้านสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า5,894.09 ล้านเหรียญ หดตัวร้อยละ 22.44 จากการนำเข้า เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ และสินแร่โลหะ (ทองแดง)

ด้านตลาดส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ยังคงขยายตัวได้มีเพียงประเทศจีน ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดสหภาพตลาดยุโรป (27) อาเซียน (5) CLMV ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกาหดตัวลง


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com