· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน ท่ามกลางเหล่านักลงทุนที่คาดการณ์ข้อมูลผลประกอบการสหรัฐฯจะเห็นว่าบริษัทว่าจะปรับลดลง เนื่องจากมาตรการ Lockdowns ในช่วงกาแรพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในช่วงที่ผ่านมา
นักกลุยทธ์ด้าน FX ประจำ NAB ระบุว่า ข่าวยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในสหรัฐฯ ถูกบดบังจากมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับข่าวการค้นพบวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและการสนับสนุนนโยบายเพิ่มเติม รวมทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 1.2%
· ตลาดหุ้นจีนปรับตัวสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้น tech-heavy start-up เพิ่มขึ้น 4% แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 4 ปีครึ่ง และปรับขึ้นได้ 12.8% ในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งภาพรวมเพิ่มขึ้นได้ถึง 61% ในปีนี้ ท่ามกลางความหวังเกี่ยวกับผลประกอบการที่ดีขึ้น
โดยดัชนี Shanghai Composite พุ่งขึ้น 1.77% ที่ระดับ 3,443.29 จุด ด้านดัชนีกลุ่มบลูชิพ CSI300 พุ่งขึ้น 2.1%
· นายแจ็ค หม่า ผู้ร่วมก่อตั้ง Alibaba Group ได้ลดสัดส่วนการลงทุนของบริษัทในปีที่แล้วเป็น 4.8% จากเดิมที่ 6.4% โดยปัจจุบันมีราคาหุ้นอยู่ที่ 9.6 พันล้านเหรียญเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
การขายเงินทุนเกิดขึ้นเมื่อเขาพ้นจากตำแหน่งในฐานะประธานกรรมการบริหารของบริษัท อีคอมเมิร์ซจีนเมื่อเดือนก.ย.และถอนตัวออกจากบทบาททางธุรกิจอย่างเป็นทางการเพื่อมุ่งเน้นการทำบุญ
อาลีบาบาไม่ได้เปิดเผยราคาขายเฉลี่ยของการขายเงินลงทุนของเขา ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 40% นับตั้งแต่มีรายงานสัดส่วนการถือหุ้น 6.4% ใน บริษัทเมื่อปีที่แล้ว
· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นทำระดับสูงุสดในรอบ 1 เดือน ตามการเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมา จากมุมมองเชิงบวกของเหล่านักวิเคราะห์เกี่ยวกับการพัฒนาวัคซีนเพื่อรักษาไวรัสโคโรนา จึงช่วยชดเชยความกังวลยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่มขึ้นได้
โดยดัชนี Nikkei เพิ่มขึ้น 2.22% ที่ระดับ 22,784.74 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย.
นอกจากนี้ยังได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มยานยนต์ที่ออกมาสดใสจากจีน ด้านดัชนี Topix เพิ่มขึ้น 2.46% ที่ระดับ 1,573.02 จุด
· ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในหลายพื้นที่ทั่วโลกจะเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม รวมทั้งเหล่านักลงทุนที่กำลังรอคอยฤดูกาลการประกาศผลกระกอบการ
โดยดัชนี Stoxx600 เพิ่มขึ้น 0.74% ด้านหุ้นกลุ่มยานยนต์เพิ่มขึ้น 2% ท่ามกลางหุ้นภูมิภาคส่วนใหญ่ที่เคลื่อนไหวในแดนบวก
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวสูงขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลก แม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อจากไวรัสในสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นก็ตาม โดยรัฐฟลอริดารายงานพบยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นกว่า 15,299 รายเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับรายวันที่มากที่สุดนับตั้งแต่มีการระบาด
สำหรับฤดูกาลประกาศผลประกอบการจะเริ่มในสัปดาห์นี้ โดย JPMorgan, Citigroup และ Wells Fargo มีกำหนดรายงานในวันอังคาร ด้าน Pepsi จะรายงานผลประกอบการในวันนี้ก่อนที่ตลาดจะเปิด อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายได้หรือการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญจากยุโรปในวันนี้
· ตลาดเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการที่อาจย่ำแย่มากที่สุดในรอบ 12 ปี จากความกังวลไวรัส และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
รายงานจาก CNBC ระบุว่า รายงานผลประกอบการปีนี้อาจออกมาแย่ที่สุด และมีความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นอาจจะไม่ได้อ่อนไหวตามผลประกอบการที่ลดลง ตราบที่บริษัทต่างๆยังเล็งเห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัวได้
รายงานผลประกอบการไตรมาสนี้ถูกคาดว่าจะออกมาแย่ลงกว่า 44% ซึ่งจะถือเป็นระดับที่แย่ที่สุดอีกครั้งตั้งแต่ยุค Great Recession ที่เราเห็นผลประกอบการในกลุ่มดัชนี S&P500 ร่วงลงประมาณ 67% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2008
นอกจากนี้ คาดว่ารายงานผลประกอบการที่ย่ำแย่จากผลกระทบของวิกฤตไวรัสโคโรนาจะทำให้เศษฐกิจไตรมาสที่ 2/2020 นี้อาจดิ่งลงไปกว่า 30%
คืนนี้จะเริ่มต้นรายงานผลประกอบการด้วยกลุ่มการเงินรายใหญ่ทั้ง JPMorgan, Bank of America, Goldman Sachs และ Wells Fargo เป็นต้น รวมทั้งบริษัทอื่นๆ อย่าง Pepsioco, Johnson and Johnson, Abbott Labs และ Netflix
อ้างอิงข้อมูลจาก Refinitiv คาดกลุ่มการเงินจะมีผลประกอบการที่ร่วงลงมากถึง 52% ก็เป็นได้
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข รองผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยหลังจากเปิดจำหน่ายเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (Request for Proposal: RFP) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มูลค่า 1.4 แสนล้านบาท ว่า มีผู้ประกอบการเข้ามาซื้อซองประมูล จำนวน 4 ราย ได้แก่ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC (บริษัทในกลุ่ม BTS) และ ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC)
"เราต้องเร่งเปิดขายซองให้เร็ว เพราะขณะนี้งานก่อสร้างด้านตะวันออกเดินหน้าไปมากแล้วซึ่งจะแล้วเสร็จปี 2565 ต้องเร่งสัญญานี้เพื่อให้โครงการเปิดให้บริการได้ในปี 2566 " นายสุรเชษฐ์ กล่าว
· อ้างอิงจากสำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. แถลงวันนี้ (13 ก.ค.) กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการแถลงข่าวสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยระบุถึงกรณี ผู้ติดเชื้อรายที่ 3 ชาวอียิปต์ ซึ่งเป็นทหาร เดินทางเข้ามายังประเทศไทยในวันที่ 8 ก.ค. และเข้าพักที่โรงแรมที่เป็น State Quarantine ใน จ.ระยอง
ในวันรุ่งขึ้น 9 ก.ค. ได้เดินทางออกจากโรงแรม ไปทำภารกิจทางทหารที่ประเทศจีน และกลับมาประเทศไทยในวันเดียวกัน และเข้าพักที่โรงแรมแห่งเดิม ใน จ.ระยอง
ผลตรวจวันที่ 10 ได้ตรวจพบเชื้อ ส่วนอีก 30 รายที่มาด้วยกันซึ่งเป็นลูกเรือทั้งหมด ไม่พบเชื้อ เจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ในวันที่ 11 ก.ค. ซึ่งเป็นวันที่เจ้าตัวเดินทางกลับออกจากประเทศไทย และผลตรวจออกในวันที่ 12 ก.ค. คือ พบว่า ติดเชื้อโควิด-19
แม้ว่าทหารท่านนี้จะเดินทางเข้ามาในลักษณะของ "ลูกเรือ" ซึ่งแนวปฏิบัติตามข้อกำหนด มาตรา 9 ให้คน "11 กลุ่ม" ที่ยกเว้นให้เดินทางเข้าประเทศไทยได้ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ ผู้ควบคุมยานพาหนะ หรือเจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะ ที่จำเป็นต้องเดินทางเข้ามาในประเทศ เพื่อทำภารกิจ และมีแผนการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรที่ชัดเจน
เปิดไทม์ไลน์ ทหารอียิปต์ ที่พบผู้ป่วย โควิด-19
กลุ่มเหล่านี้ มีโรงแรมที่พักให้ ซึ่งปกติ จัดให้ใกล้กับสุวรรณภูมิ แต่ทหารและลูกเรือชุดนี้เดินทางเข้ามานั้น ได้เดินทางบินมาลงที่อู่ตะเภา โดยมีไทม์ไลน์ดังนี้
- วันที่ 6 ก.ค. จากกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ไปยังยูเออี
- วันที่ 7 เดินทางจาก ยูเออี ไปปากีสถาน
- วันที่ 8 เดินทางเข้ามายังท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ใน จ.ระยอง
- วันที่ 9 ออกจากโรงแรมไปท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา เพื่อทำภารกิจทางทหารที่เฉิงตู ประเทศจีน และกลับมาในวันเดียวกัน และเข้าพักที่โรงแรมเดิม
- วันที่ 10 เจ้าหน้าที่เข้าไปทำการตรวจคัดกรองทั้งคณะ จำนวน 31 ราย
- วันที่ 11 เดินทางกลับช่วงสาย โดยผลการตรวจที่ออกมาในวันนั้น ยังกำกวม ไม่แน่ชัด จึงส่งตรวจซ้ำอีกครั้ง ผลออกวันที่ 12
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- ตลาดหลักทรัพย์ฯปิดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 1,362.54 จุด เพิ่มขึ้น 12.04 จุด (+0.89%) มูลค่าการซื้อขายราว 26,688 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดช่วงเช้า โดยดัชนีทำระดับสูงสุดที่ 1,363.82 จุด และทำระดับต่ำสุดที่ 1,355.56 จุด
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.เตรียมขยายการพัฒนาระบบชำระเงินใช้สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (เซ็นทรัล แบงก์ ดิจิทัล เคอเรนซี่) หรือซีบีดีซี ไปสู่ภาคประชาชน ซึ่งจะทำหน้าที่เหมือนกับใช้เงินสดหรือธนบัตร แต่อยู่ในรูปแบบของดิจิทัลและสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายหลังจากธปท.ได้ประกาศโครงการต้นแบบการใช้สกุลเงินดิจิทัลนี้กับภาคธุรกิจเอกชนจะเริ่มทดสอบในเดือน ก.ค.นี้
- เปิดรายชื่อผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ 6 รายประกอบด้วย คนใน 2 รายคือ นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. และนายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท ขณะที่คนนอก 4 รายได้แก่นายสุชาติ เตชะโพธิ์ไทร อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) เจเอฟ จำกัด หรือเอเจเอฟ,นางต้องใจ ธนะชานันท์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบุตรสาวนายชวลิต ธนะชานันท์ อดีตผู้ว่าการ ธปท.และอดีต รมช. คลัง,นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูปสถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ปัจจุบันเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) รวมทั้งยังเคยเป็นกรรมการในคณะกรรมการ ธปท.และนั่งเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้นายกรัฐมนตรีในขณะนี้