· ดอลลาร์อ่อนค่าทำต่ำสุดรอบ 1 เดือนในฐานะ Safe-Haven จากความหวังเชิงบวกเรื่องวัคซีน
ความเชื่อมั่นสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น จึงช่วยหนุนความต้องการในสกุลเงินกลุ่มดังกล่าว อันเนื่องจากข่าวความคืบหน้าเรื่องวัคซีนที่ทำให้ตลาดหุ้นต่างก็มีการรีบาวน์ รวมทั้งค่าเงินในสกุลสินค้าโภคภัณฑ์ก็ออกมาแข็งแกรงจึงทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าทำต่ำสุดรอบ 1 เดือน
ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงเคลื่อนไหวต่ำกว่า 96 จุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. โดยระหว่างวันทำต่ำสุดรอบ 1 เดือนที่ 95.770 จุด ก่อนจะปิด -0.09% ที่ 96.070 จุด
บริษัท Moderna ถือเป็นบริษัทล่าสุดที่แสดงถึงความคืบหน้าเรื่องการทดสอบวัคซีนไวรัสโคโรนา ที่ส่งผลให้ผู้ทดสอบ 45 คนมีภูมิต้านทานไวรัส จึงจุดประกายความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง
ทั้งนี้ นักงทุนก็ควรจะต้องมีความระมัดระวัง จากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ดูจะเลวร้ายลง รวมทั้งความกังวลเรื่องการระบาดรอบที่ 2
ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นทำสูงสุดรอบ 4 เดือน ที่บริเวณ 1.145 ดอลลาร์/ยูโร โดยปิดใกล้สูงสุดตั้งแต่ต้นเดือนมีค.ที่ 1.150 ดอลลาร์/ยูโร และปิดตลาดวานนี้ที่ +0.11% ที่ 1.141 ดอลลาร์/ยูโร
· รายงาน Beige Book ของเฟด เห็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจขึ้น แต่ยังไม่ใกล้ระดับก่อนเกิดการระบาดของไวรัส
แนวโน้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจของเฟดโดยส่วนใหญ่เกือบทุกเขตปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนเกิดไวรัสโคโรนา และภาพรวมของแนวโน้มก็ยังคงมีความไม่แน่นอนที่อยู่ในระดับสูง เนื่องด้วยยังไม่มึความชัดเจนว่าวิกฤตดังกล่าวจะกินเวลานานเพียงใด
ทั้งนี้ จำนวนการจ้างงานมีการปรับเพิ่มสูงขึ้น จึงเพิ่มโอกาสการหารือเกี่ยวกับทิศทางแรงงานสหรัฐฯ และภาคบริษัทในการสนับสนุนการจ้างงาน ขณะที่ข้อมูลการใช้จ่ายผู้บริโภคที่พบการฟื้นตัว เป็นเพราะมีการรีบาวน์จากยอดขายรถจักรยานยนต์ และยอดขายบ้านที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับกิจกรรการผลิตที่ก็ออกมาดีขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำมาก และอุปสงค์ในกลุ่มการบริการก็จะยังอ่อนแออย่างมาก
สรุปได้ว่า รายงาน Beige Book ในภาพใหญ่ยังคงเป็นทิศทางเชิงบวกมากกว่ารายงานในเดือนก่อนหน้า (พ.ค.)
· ยอดค้าปลีกสหรัฐฯคาดแข็งแกร่งจากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นก่อนการระบาดรอบใหม่
รายงานจากรอยเตอร์ส เผยถึงคาดการณ์รายงานยอดค้าปลีกของสหรัฐฯประจำเดือนมิ.ย. ที่ถูกคาดว่าจะปรับขึ้นมาบริเวณ 5.2% จากการกลับมาเปิดทำการทางเศรษฐกิจ แต่ยอดขายก็อาจเผชิญกับการปรับตัวลดลงในช่วงสิ้นเดือนจากสถานการณ์ไวรัสโคโรนาที่กลับมาเลวร้ายลงอีกครั้ง
บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดว่ายอดค้าปลีกจะปรับขึ้นได้ประมาณ 5% หากไม่รวมยอดขายรถยนต์ ขณะที่ยอดขายในเดือนพ.ค. สร้างความประหลาดใจในการรีบาวน์กลับมาที่ 14.4% และ 17.2% หากไม่รวมกลุ่มยานยนต์ ในช่วงที่ประเทศกลับมาเปิดทำการทางเศรษฐกิจ
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Moody’s Analytics คาดหวังว่า จำนวนยอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 6% ขณะที่ข้อมูลค่าใช้จ่ายในภาคธุรกิจ อาทิบริษัทด้านซอร์ฟแวร์อย่าง Cortera ก็ยืนยันว่ามียอดขายที่แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ดี มีความชัดเจนอยู่ว่ายอดค่าใช้จ่ายจะมีการปรับตัวลดลงในช่วงสิ้นเดือนนี้ รวมถึงการจองร้านอาหารในหลายๆร้านที่น่าจะมีไม่มากมายนัก
· ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ ชี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯอาจใช้เวลาหลายปีในการก้าวออกจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา พร้อมเรียกร้องให้ภาครัฐบาลมีการอัดฉีดทางการเงินเพิ่ม รวมทั้งรัฐบาลท้องถิ่นด้วย
· ดร.แอนโธนี เฟาซี ผู้เชี่ยชาญด้านโรคระบาดของสหรัฐฯ เรียกร้องให้ทำเนียบขาวยุติการทำลายชื่อเสียงของเขา รวมทั้งการยุติการทำเรื่องไร้สาระแต่หันมาสู้กับการระบาดของไวรัสโคโรนา
· “ปอมเปโอ” ระงับวีซ่าเจ้าหน้าที่หัวเวย อ้างถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน
นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯจะทำการระงับวีซ่าพนักงานบริษัทเทคโนโลยีของจีน รวมถึงหัวเวย ในฐานะการให้การสนับสนุนด้านอุปกรณ์ที่ใช้ในการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั่วโลก และการดำเนินการดังกล่าวดูจะยิ่งตอกย้ำความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีนมากยิ่งขึ้น
· ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นกว่า 2% จากสต็อกน้ำมันดิบที่ลดลงเกินคาด
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงได้กว่า 2% เพราะได้รับแรงหนุนจากข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ แต่การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบเป็นไปอย่างจำกัดจากการที่กลุ่มโอเปกและชาติสมาชิกจะทำการผ่อนคลายการจำกัดภาวะอุปทานตั้งแต่เดือนส.ค. นี้ ท่ามกลางเศรษฐกิจทั่วโลกที่ดูจะค่อยๆฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการระบาดของไวรัสโคโรนาวันนี้
น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 75 เซนต์ หรือ +1.75% ที่ 43.65 เหรียญ/บาร์เรล ด้าน WTI ปรับขึ้น 91 เซนต์ หรือ +2.26% ที่ระดับ 41.2 เหรียญ/บาร์เรล
รายงานจาก EIA ชี้ว่า ข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯในสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวลดลงกว่าที่คาด โดยลดลง 7.5 ล้านบาร์เรล