• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 17 กรกฎาคม 2563

    17 กรกฎาคม 2563 | Economic News

สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 13,961,427

Ø  จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 592,979 ราย

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯอยู่ลำดับที่ 1 ของโลก ล่าสุดมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 3,695,302 ราย (+277) และมีผู้เสียชีวิตเป็นอันดับที่ 1 ของโลกที่ระดับ 141,118 ราย

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในบราซิลอยู่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก โดยล่าสุดมีผู้ติดเชื้อที่ 2,014,738 ราย ขณะที่ผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 76,822 ราย

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในอินเดียอยู่เป็นอันดับที่ ของโลก โดยล่าสุดมีผู้ติดเชื้อที่ 1,005,760 ราย (+123) ขณะที่ผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 25,619 ราย (+10)


· หนี้เสียในจีนเพิ่มขึ้น- บรรดาธนาคารต่างๆในจีน

เผชิญกับหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นที่อาจกระทบต่อหลักประกันและผลกำไรของพวกเขาในไตรมาสที่จะมาถึง โดยเฉพาะภาคธนาคารขนาดเล็กมีแนวโน้มที่จะถูกดดันมากขึ้น

การระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโคโรนาได้ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัว โดย IMF หั่นคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจลงประมาณ 1% ในปีนี้ จากปีที่แล้วที่โตได้ประมาณ 6.1%

The China Banking และ Insuarance Regulatory Commission เตือนว่า กว่า 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาภาคธนาคารบางแห่งมีการเพิ่มทุนสำรองเพื่อรองรับผลกระทบจากความเสี่ยหายที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะหากภาคธนาคารในประเทศมีการตั้งการสำรองในระดับต่ำในปีนี้ ภาคธนาคารก็อาจได้รับความสูญเสียกำไรมากกว่า 3.5 แสนล้านเหรียญ (5.008 หมื่นล้านเหรียญ)


· อินเดียยอดติดเชื้อสะสมพุ่งทะลุล้าน ขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ของโลก

จำนวนผู้ติดเชื้อในอินเดียเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านราย และทำให้ยอดผู้ติดเชื้อของอินเดียในเวลานี้ปรับขึ้นมาเป็นลำดับที่ 3 ของโลกรองจากสหรัฐฯและบราซิล

ทั้งนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นหลังจากที่มีการผ่อนปรนมาตรการ Lockdown


· ดอลลาร์เคลื่อนไหวกรอบแคบ ท่ามกลางยอดไวรัสพุ่ง-หยวนอ่อน

ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมาอีกครั้งจากความกังวลที่ว่ายอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่มขึ้นจะเริ่มกลับมาจำกัดการเคลื่อนไหวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกครั้ง และนั่นทำให้ดอลลาร์เกิดเม็ดเงินไหลกลับมาในฐานะ Safe-Haven ขณะที่หยวนอ่อนค่ามากสุดรอบ 3 สัปดาห์ เหตุตึงเครียดเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนรุนแรงมากขึ้น

ค่าเงินยูโรได้รับแรงหนุนจากเจ้าหน้าที่อีซีบีที่เห็นพอ้งกันที่จะดำเนินมาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจต่อไป

นักลงทุนบางส่วนเริ่มเล็งเห็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ยอดติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นดูจะกลับมาคุกคามเศรษฐกิจสหรัฐฯอีกครั้ง

หัวหน้านักวิเคราะห์จาก MUFG Bank กล่าวว่า ค่าเงินดอลลาร์ดูจะเคลื่อนไหวได้ดีในฐานะ Safe-Haven ท่ามกลางความกังวลในเรื่องการกลับมา Lockdown

ค่าเงินเยนทรงตัวที่ 107.24 เยน/ดอลลลาร์ และยูโรทรงตัวที่ 1.1381 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ปอนด์ทรงตัวเช่นกันที่ 1.2560 ดอลลาร์/ปอนด์

แหล่งข่าววงใน เผย ทีมบริหารของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังพิจารณาการแบนการเข้าประเทศสำหรับสมาชิกรัฐบาลจีนทั้งหมด ซึ่งนี่อาจนำไปสู่ความตึงเครียดในด้านความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมากยิ่งขึ้น

ในสัปดาห์นี้ สหรัฐฯมีการสร้างแรงกดดันจีนมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เรื่องสิทธิมนุษยชน, การเข้าถึงตลาดเทคโนโลยี และการอ้างสิทธิควาไม่ชอบธรรมที่ทำให้บรรดานักวิเคราะห์บางส่วน วิเคราะห์ว่านี่อาจเป็นสงครามเย็นครั้งใหม่

ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงมากที่สุดตั้งแต่ 24 มิ.ย. ที่ 7.0041 หยวน/ดอลลาร์ โดยมีสาเหตุสำคัญจากความตึงเครียดสหรัฐฯ-จีน


· วิเคราะห์ค่าเงินเยน กราฟรายชั่วโมงชี้ Double Bottom

FXStreet วิเคราะห์ว่าค่าเงินเยนเมื่อเทียบดอลลาร์ทำแพทเทิร์น Double Bottom ในภาพรายชั่วโมง จึงเห็นการอ่อนตัวกลับหลังจากที่อ่อนค่าขึ้นไปทำสูงสุดวานนี้ ขณะที่ S&P500 Futures, ดัชนี Shanghai Composite และหุ้นต่างๆในฮ่องกงปรับตัวสูงขึ้น

ค่าเงินเยนค่อนข้างทรงตัวในภาพระดับราย 4 ชั่วโมง และยังยืนได้เหนือเส้นค่าเฉลี่ยโดยทั่วไป ขณะที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 SMA ทรงตัวได้แถว 107.5 เยน/ดอลลาร์ และยังไม่สามารถผ่านไปสูงสุดสัปดาห์ที่แล้วไปได้

ในทางเทคนิคเครื่องมือ Indicators ต่างๆ ก็ดูจะยังไปได้ดี และ RSI ก็มีการปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็อาจจะยังชะลอตัวอยู่ได้ และคาดการปรับแข็งค่าลงมาอีกครั้งก็จะยังมีอย่างจำกัดในการซื้อขายสุดสัปดาห์นี้

แนวต้าน: 107.50 107.90 108.30

แนวรับ: 106.95 106.60 106.20


· เศรษฐกิจจีนกำลังฟื้นตัว ถือเป็นข่าวดีแก่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นักเศรษฐศาสตร์จาก OCBC Bank กล่าวว่า ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มจะได้รับประโยชน์จากการรีบาวน์ทางเศรษฐกิจจีน ที่ถือเป็นผู้นำทางด้านการส่งออกแห่งอาเซียน โดยข้อมูลจีดีพีของจีนเติบโตได้ 3.2% ในช่วงไตรมาสที่2/2020 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากที่หดตัวไป -6.8% ในไตรมาสแรก


· ผลสำรวจอีซีบี ชี้ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ และการรีบาวน์ที่จะกลับมาแข็งแกร่ง

Survey of Professional Forecasters แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจยูโรโซนปีนี้อาจหดตัวได้น้อยกว่าที่อีซีบีเคยคาดการณ์ไว้ รวมทั้งอาจเห็นการฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอีซีบีคาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนปีนี้จะเติบโตที่ -8.3% ซึ่งดาวน์เกรดลงมาจากคาดการณ์ในเดือนพ.ค.ที่อยู่ที่ -5.5% และปีหน้าคาดโตได้ 5.7% จากคาดการณ์เดิมที่ 5.2%

แม้ว่าเศรษฐกิจของยูโรโซนจะได้รับคามเจ็บปวดจากภาวะถดถอยครั้งใหญ่ที่ดิ่งลงในช่วงเดือนเม.ย. หรือมิ.ย. แต่ในเวลานี้ก็จะเห็นได้ถึงสัญญาณการเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้บ้าง

ขณะที่ภาพผลสำรวจอื่นๆยังเป็นบวก ไม่ว่าจะเป็นเฟ้อปีนี้ที่ดูจะโตได้ 0.4% เดิมอีซีบีเคยคาดไว้ที่ 0.3% และปีหน้าคาดเงินเฟ้อจะอยู่ราว 1% จากคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 8%

อย่างไรก็ดี ภาพระยะยาวของเศรษฐกิจยูโรโซนปี 2025 ดูจะยังอยู่เท่าเดิมที่ 1.4% ด้านเงินเฟ้อจะอยู่ต่ำกว่าที่ 1.6% จากคาดการณ์เดิมที่ 1.7% ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ยังอยู่ต่ำกว่าเป้าที่อีซีบีคาดหวังไว้


· ในการประชุมเรื่องบประมาณต่อไปของอียู และกองทุนช่วยเหลือ

ประธานกรรมาธิการผู้นำของอียู กล่าวถึงข้อตกลงงบประมาณอียูและกองทุนฟื้นฟูประเทศที่อาจเป็นไปได้มากขึ้นที่จะสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ในช่วงการประชุม EU Sumiit ในวันนี้และวันพรุ่งนี้


· ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เชื่อมั่นต่อการเจรจาของอียู

แต่ก็ยังคงต้องระวังต่อผลลัพธ์ของข้อตกลงการเข้าร่มแผนในเวลานี้ แต่เขาเชื่อว่าบรรดาผู้นำอียูจะสามารถบรรลุข้อตกลร่วมกันได้ ดังั้น ฝรั่งเศสจะทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุข้อตกลงนี้


· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความต้องการเชื้อเพลิงทั่วโลกที่ฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากข่าวที่ว่ายอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายใหม่เพิ่มสูงขึ้นในหลายประเทศ

โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 11 เซนต์ หรือคิดเป็น 0.3% ที่ระดับ 43.26 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับลง 4 เซนต์ หรือคิดเป็น 0.1% ที่ระดับ 40.71 เหรียญ/บาร์เรล 


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com