ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวผันผวน เนื่องจากเหล่านักลงทุนถูกกดดันจากความไม่แน่นอนระหว่างสหรัฐฯ-จี หลังสหรัฐฯสั่งให้จีนทำการปิดสถานกงสุลในนครฮูสตัน โดยให้เวลาเพียง 72 ชั่วโมงเท่านั้นในการดำเนินการปิดสถานกงสุลดังกล่าว โดยอ้างเหตุเพื่อป้องกันทรัพย์สินทางปัญหาของสหรัฐฯ โดยกล่าวหาว่าจีนการขโมยข้อมูลลับ และข้อมูลส่วนตัวของชาวสหรัฐฯ และความเคลื่อนไหวล่าสุดดูจะนำมาซึ่งการเพิ่มความตึงเครียดแก่ทั้งสองประเทศ
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า “มีความเป็นไปได้ตลอดเวลา” ที่เขาจะสั่งปิดสถานกงสุลจีนแห่งอื่นๆในสหรัฐฯ
ขณะที่ แหล่งข่าวจีนเปิดเผยว่า จีนเองก็กำลังพิจารณาที่จะปิดสถานกงสุลสหรัฐฯในเมืองอู่ฮั่นเพื่อตอบโต้ และข้อขัดแย้งของสองประเทศดูจะกลายเป็นปัญหาที่กระทบต่อการเติบโตของแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ที่ได้รับผลกระทบของไวรัสโคโรนาในเวลานี้ด้วย
เหล่านักลงทุนให้ความสนใจไปยังการประกาศข้อมูลจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 0.18% ท่ามกลางการปรับลงของตลาดหุ้นจีน โดยดัชนี Shanghai ลดลง 0.6% หลังจากที่ร่วงลงไปกว่า 2% ในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งที่บ่งชี้ว่าการระบาดของไวรัสโคโรนาที่เกิดขึ้นใหม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างไร โดยยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสดังกล่าวในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,100 รายเป็นวันที่สองติดต่อกัน
ด้านตลาดหุ้นออสเตรเลีย เพิ่มขึ้น 0.25% ตลาดหุ้นฮ่องกงเพิ่มขึ้น 0.43%
· ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลง เนื่องจากสหรัฐฯสั่งให้จีนทำการปิดสถานกงสุล ท่ามกลางแรงเทขายในตลาด
ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงในวันนี้ หลังจากที่ปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกัน 4 วันทำการ เนื่องจากสหรัฐฯสั่งให้จีนทำการปิดสถานกงสุลในนครฮูสตันทันที โดยอ้างเหตุเพื่อป้องกันทรัพย์สินทางปัญหาของสหรัฐฯ ท่ามกลางเหล่านักลงทุนที่เทขายทำกำไรหลังจากที่ตลาดปรับตัวสูงขึ้นได้ในช่วงก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ดัชนี Shanghai Composite ลดลง 0.2% ที่ระดับ 3,325.11 จุด และดัชนีกลุ่มบลูชิพ CSI300 ค่อนข้างเคลื่อนไหวทรงตัว
· ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางเหล่านักลงทุนให้ความสนใจไปยังความตึงเครียดสหรัฐฯ-จีน และรายงานผลประกอบการภาคบริษัท
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเหล่านักลงทุนให้ความสนใจไปยังประเด็นความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งรายงานผลกระกอบการภาคบริษัท
โดยดัชนี Stoxx600 เพิ่มขึ้น 0.4% ด้านหุ้นกลุ่มยานยนต์เพิ่มขึ้น 1.8% ขณะที่หุ้นกลุ่มสุขภาพลดลง 0.4%
ทั้งนี้ วันนี้จะมีการรายงานผลกระกอบการบริษัท Roche, Unilever, Dassault Systemes, Eurotunnel, Repsol, Covestro และ Daimler สพหรับข้อมูลทางเศรษฐกิจที่จะเปิดเผย ได้แก่ ข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมนีและข้อมูลความเชื่อมั่นทางธุรกิจของฝรั่งเศสว
อ้างอิงจากกรุงเทพธุรกิจ
เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 63 ที่กระทรวงสาธารณสุข พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (ศบค.) แถลงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน ว่า ประเทศไทย พบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 8 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 3,269 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ที่เข้าพักอยู่ใน State Quarantine ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 58 ราย ผู้ป่วยที่รักษาหายกลับบ้านแล้ว 3,105 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 106 ราย
อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- "ทองคำ" ในประเทศพุ่ง ทำ "นิวไฮ" แตะระดับ 27,650 บาทต่อบาททองคำ หลัง "อีซีบี" อัดฉีดเงินกว่า 7.5 แสน
ล้านยูโร นักวิเคราะห์ ประเมินราคาตลาดโลกมีลุ้นทะลุไฮเดิม 1,920 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ แนะจับตา 3 สัญญาณเสี่ยงกดราคา ในอนาคตวูบ ด้าน นักลงทุนสถาบันประเมินแนวโน้มราคาเริ่มอืด เสี่ยงเผชิญแรงขายทำกำไร ขณะ "เอยูเอ็ม" กองทุนทองวูบ 5% เหตุนักลงทุนเริ่มขายออก
- ส่งออกข้าวร่วง ครึ่งปี 63 ทำได้ 3.14 ล้านตัน ลดลง 32% เหตุโควิด-บาทแข็ง ทำกำลังซื้อหด ฉุดอันดับไทยตกมาอยู่ที่
3 รองจากอินเดียและเวียดนาม จ่อปรับเป้าทั้งปีเหลือ 6.5 ล้านตันนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า ทางสมาคมฯ ต้องการให้ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ของรัฐบาลเร่งแก้ปัญหาข้าวไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันรวมถึงการดูแลค่าเงินให้อ่อนค่าลงอยู่ในระดับ 32.50-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และขับเคลื่อนแผน ยุทธศาสตร์ข้าว 10 ปี ที่เน้นให้ความสำคัญกับพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ที่ตลาดต้องการ
- "แบงก์พาณิชย์" เร่งประเมินสถานะลูกหนี้ "เอสซีบี" เผยให้การช่วยเหลือลูกค้าแล้
วกว่า 1.1 ล้านราย พร้อมประเมินลูกหนี้ราว 60-70% กลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ ที่เหลืออีก 30-40% จ่อให้การช่วยเหลือเพิ่มเติม ขณะ "กสิกรไทย" เผยอยู่ ระหว่างประเมินสถานะลูกหนี้ ด้าน "กรุงศรี" ย้ำให้การช่วยเหลือลูกหนี้เต็
มที่ หวังช่วยป้องปัญหาเศรษฐกิจทรุ
ดแรง