ทองขึ้นใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลังเฟดย้ำถึงความเสี่ยงทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
· ราคาทองคำปรับตัวขึ้นท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนในตลาด โดยราคามีการขยับใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่เฟดตัดสินใจคงดอกเบี้ยใกล้ระดับศูนย์ ขณะที่การเพิ่มขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่มขึ้นดูจะเป็นปัจจัยที่ลดความคาดหวังต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
· ราคาทองคำตลาดโลกปิด +0.5% ที่ 1,969.16 เหรียญ ขณะที่สัญญาทองคำส่งมอบเดือนส.ค. ปิด +0.5% ที่ 1,953.4 เหรียญ
· ระหว่างแถลงการณ์ของประธานเฟด ราคาทองคำมีกาปรับตัวขึ้นได้มากถึง 1.1% ที่ 1,980.31 เหรียญ โดยยังเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่บริเวณ 1,980.57 เหรียญที่ทำไว้เมื่อวันอังคาร แต่เมื่อเข้าใกล้ระดับดังกล่าวทองคำก็มีแรงเทขายให้อ่อนตัวลงมา
· นักวิเคราะห์จาก BMO กล่าวว่า ทองคำมีการแกว่งตัวตามถ้อยแถลงของประธานเฟด แต่ภาพระยะยาวของทองคำยังเป็นขาขึ้นและมีโอกาสปรับขึ้นต่อ ขณะที่ระยะสั้นดูจะเข้าสู่ภาวะปรับฐาน
· นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟดมีการกล่าวย้ำถึงภาวะเศรษฐกิจขาลง ณ ปัจจุบัน ที่ยังจำเป็นต้องมีมาตรการทางการเงินและนโยบายการเงินมาช่วยสนับสนุน ขณะที่สมาชิกเฟดยังคงเห็นพ้องที่จะใช้เครื่องมืออย่างเต็มรูปแบบในการสนับสนุนเศรษฐกิจ พร้อมตัดสินใจคงดอกเบี้ยระดับต่ำตราบเท่าที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัว
· ภาพรวมการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการเงินดูจะทำให้ทองคำปีนี้ปรับขึ้นได้แล้วเกือบ 30%
· ผู้ก่อตั้งสถาบันการลงทุน Circle Squared Alternative Investment กล่าวว่า ทองคำมีโอกาสทดสอบแนวต้าน 2,000 เหรียญในเร็วๆนี้ และหลายๆคนก็รอจังหวะที่ราคาถึงระดับดังกล่าวเพื่อเทขายทำกำไร
· กองทุนทองคำ SPDR หลังจากที่วันก่อนหน้าเข้าซื้อมากถึง 8.47ตัน ล่าสุดเมื่อวานนี้มีแรงขายออกมาบ้าง 1.17 ตัน ปัจจุบันถือครองทองคำที่ระดับ 1,241.95 ตัน
· ราคาซิลเวอร์ปิด -1.5% ที่ 24.19 เหรียญ ด้านแพลทินัมปิด -1.6% ที่ 932.69 เหรียญ ขณะที่ราคาพลาเดียมปิด -5.9% ที่ 2,148.78 เหรียญ
· ข้อมูลตลาดที่อยู่อาศัยสหรัฐฯปรับขึ้นในรอบเกือบ 14 ปีครึ่งในเดือนมิ.ย. โดยข้อมูลยอดขายบ้านที่รอปิดการขาย (Pending Home Sales) ออกมาเพิ่มขึ้น 16.6% แตะ 116.1 ยูนิตในเดือนมิ.ย. ถือเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ม.ค. ปี 2006
· จีดีพีสหรัฐฯ Q2/2020 คาดจะเป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจเติบโตอย่างยากลำบากจากไวรัส
รัฐบาลสหรัฐฯจะทำการเปิดเผยข้อมูลจีดีพีขั้นต้นประจำไตรมาสที่ 2/2020 เวลา 19.30น. ตามเวลาประเทศไทย โดยถูกคาดว่าข้อมูลดังกล่าวจะออกมาหดตัวเกินความคาดหมายเกือบ -35% จากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯประสบปัญหา Shutdown เพื่อสกัดการระบาดของไวรัสโคโรนา ขณะที่จีดีพีในช่วงไตรมาสแรกของปีมีการหดตัวอยู่ที่ -5%
การปรับตัวลดลงของจีดีพีสหรัฐฯสืบเนื่องจากการดิ่งลงของการอุปโภคบริโภค เนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคมีการกักตัวอยู่แต่ในบ้าน ทางด้านภาคธุรกิจปิดทำการ และโรงเรียนมีการปิดชั่วคราว
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Grant Thornton มองว่าการดิ่งลงของจีดีพีไตรมาสที่ 2 ของสหรัฐฯในครั้งนี้จะถือเป็นการร่วงลงครั้งประวัติศาสตร์ในรอบกว่า 70 ปี ขณะที่การเก็บสถิติจะพบว่าจีดีพีในยุค Great Depression มีการหดตัว -10% ในปี 1958 และ -8% ใน Q1/1980 ขณะที่ช่วงเกิดวิกฤตทางการเงินปี 2008 พบจีดีพีหดตัวที่ -8.4%
· สภาคองเกรสเจรจาสวัสดิการคนว่างงานสหรัฐฯไม่คืบ
พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตยังคงไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการเตรียมการช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ท่ามกลางแพ็คเกจช่วยเหลือคนว่างงานที่ 600 เหรียญ/สัปดาห์จะหมดอายุลงในสัปดาห์นี้
และถึงแม้จะมีการประชุมกันเป็นเวลาหลายวันก็มีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยต่อร่างกฎหมายเพื่อบรรเทาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา ที่ปัจจุบันส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 150,000 ราย และมีประชาชนสหรัฐฯตกงานอีกนับ 10 ล้านราย
· ด้านสถานการณ์ไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯ พบว่า ล่าสุดสหรัฐฯมียอดผู้เสียชีวิตสะสมรวมทะลุ 150,000 รายเมื่อวานนี้ ซึ่งถือเป็นการเสียชีวิตที่มากที่สุดของโลก
· จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในฝรั่งเศสรายวันทำสูงสุดรอบ 1 เดือนที่ 1,392 รายวานนี้ และมีแนวโน้มที่จะสร้างความกังวลเรื่อง Second Wave
· ฝ่ายบริหารอียูลงนามข้อตกลงตัวยาเรมเดอร์ซิเวีย (Remdesivir) กับบริษัท Gilead เมื่อวานนี้ ที่อาจช่วยรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อได้มากถึง 30,000 รายตั้งแต่ช่วงต้นส.ค.นี้ ซึ่งมูลค่าสัญญาที่ลงนามร่วมกันจะอยู่ที่ 63 ล้านยูโร (73.99 ล้านเหรียญ)
· ส่อตึงเครียดจีนเพิ่ม - “มนูชิน” จะทำการเสนอเรื่องแอพพลิเคชัน TikTok กับ “ทรัมป์” สัปดาห์นี้
นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า จะพิจารณาทบทวนแอพลิเคชัน TikTok ของจีน ภายใต้ข้อกฎหมายด้านความมั่นคง CFIUS ในสัปดาห์นี้ ว่ามีความเสี่ยงต่อด้านความปลอดภัยหรือความมั่นคงอย่างไร
· ตึงเครียดอิหร่าน-สหรัฐฯ ล่าสุดกองทัพอิหร่านทดลองยิงขีปนาวุธจากใต้ดินครั้งแรก
อิหร่านประกาศความสำเร็จในการทดลองยิงขีปนาวุธจากใต้ดินระหว่างการซ้อมรบประจำปี พร้อมกับการเผยแพร่ภาพกองทัพยิงจรวดถล่มเรือบรรทุกเครื่องบินซึ่งจำลองจากเรือกองทัพสหรัฐฯ จุดชนวนให้ความตึงเครียดกับสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงมากขึ้น
ขณะที่วันนี้สถานีโทรทัศน์อิหร่านมีการเผยแพร่ภาพการทดลองการยิงขีปนาวุธจากใต้ดินเป็นครั้งแรกระหว่างการซ้อมรบประจำปีเพื่อแสดงแสนยานุภาพที่เพิ่มขึ้นของกองทัพอิหร่าน
ด้านกองทัพสหรัฐฯ ระบุว่า การซ้อมรบของอิหร่าน ทำให้ฐานทัพสหรัฐฯ 2 แห่งในอ่าวเปอร์เซียต้องอยู่ในภาวะเตรียมพร้อมเฝ้าระวัง และการยิงขีปนาวุธของอิหร่านแสดงให้เห็นถึงการขาดความรับผิดชอบ
ทั้งนี้ แม้ว่าจะเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนา แต่อิหร่านกับสหรัฐฯ ยังคงเผชิญหน้ากันและสถานการณ์ทวีความตึงเครียดมากขึ้น หลังสหรัฐฯ เรียกร้องให้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้มาตรการของสหประชาชาติที่ห้ามการขายค้าอาวุธกับอิหร่าน ซึ่งกำลังจะหมดอายุลงในเดือน ต.ค.นี้
· นักบริหารการเงิน ประเมินว่า ค่าเงินบาทมีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าที่ระดับ 30.50 บาท/ดอลลาร์ในช่วงสิ้นปี 63 นี้ หลังจากที่เงินบาทแตะอ่อนค่าไปในกรอบ 31.50-32.00 บาท/ดอลลาร์ตามที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ จากแรงกดดันจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ประกอบกับแนวโน้มการคงนโยบายการเงินในไทยและโครงสร้างดุลชำระเงินของไทยที่สนับสนุนการแข็งค่าของค่าเงินบาท โดยคาดว่าการอ่อนค่าอย่างรุนแรงของค่าเงินดอลลาร์จะกดดันให้เงินบาทมีแนวโน้มจะทยอยแข็งค่าสอดคล้องกับค่าเงินสกุลอื่นในช่วงที่เหลือของปี
· อ้างอิงจาก INN news
สภาตลาดทุนมองQ4จีดีพีบวกได้-เงินกู้ต้องมุ่งจ้างงาน
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย ว่า จีดีพี จะพลิกกับมาเป็นบวกได้ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ หลังจากไตรมาส 2 เป็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากมีการล็อกดาวน์ ส่วนปีหน้าเชื่อว่าทั้งปีจะขยายตัวเป็นบวก สำหรับนโยบายการเงินมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะไม่ลดดอกเบี้ยนโยบาย เพราะปรับลงมาแล้วถึง 3 ครั้งลงมาอยู่ที่ร้อยละ 0.50 ต่ำสุดเป็นประวัติศาสตร์ ขณะที่มาตรการทางการคลัง จะมีความจำเป็นอย่างมากในการดูแลเศรษฐกิจไทย ซึ่งรัฐบาลจะต้องเร่งเยียวยาธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ให้เร็วที่สุด
นอกจากนี้ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ยังได้กล่าวถึงทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่จะเข้ามาด้วย ว่า สิ่งแรกที่จะต้องดำเนินการคือ ดูแลเรื่องการว่างงาน ทำให้คนตกงานน้อยที่สุด ส่วนเงินกู้ 4 แสนล้านบาทนั้น ควรมุ่งให้เกิดการจ้างงาน