ทองคำอ่อนตัวครั้งแรกหลังจากที่ปิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานที่สุดตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2017
· ราคาทองคำตลาดโลกปิด -0.9% ที่ 1,952.3 เหรียญ หลังจากที่ปิดปรับขึ้นต่อเนื่องยาวนานที่สุดตั้งแต่ธ.ค. ปี 2017 ขณะที่สัญญาทองคำส่งมอบเดือนส.ค. ปิด -0.6% ที่ 1,942.3 เหรียญ และสัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิดปรับลง 9.9 เหรียญ ที่ 1,966.8 เหรียญ
· ราคาทองปรับตัวลงท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่มีการปิดทำกำไรหลังจากที่ราคาปรับขึ้นได้ต่อเนื่องตลอด 9 วันทำการ แต่ภาพรวมทองคำก็ยังคงเป็นขาขึ้น และระดับราคาก็เคลื่อนไหวใกล้กับจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์
· นักกลยุทธ์จาก TD Security กล่าวว่า สถานการณ์ลงทุนทองคำเพิ่มขึ้นไม่เพียงจากกลุ่มสถาบันเท่านั้น แต่การลงทุนในกลุ่มนักลงทุนรายย่อยก็เพิ่มขึ้นด้วย จึงสะท้อนมุมมองที่ทองคำอาจปรับขึ้นได้ต่อ
· นักวิเคราะห์ทางเทคนิคอาวุโสจาก Kitco มองว่า ทองคำระยะสั้นๆอาจมีการอ่อนตัวจากสภาวะ Overbought และอาจมีการปรับฐาน โดยจะเห็นได้จากเวลานี้ที่ราคาเผชิญกับแรงเทขายทำกำไรกลับลงมาในรยะสั้นๆ ขณะที่ระยะยาวภาพของทองคำยังเป็นขาขึ้น
· เมื่อคืนนี้ข้อมูลจีดีพีสหรัฐฯดิ่งลงครั้งประวัติศาสตร์ในไตรมาสที่ 2/2020 ประกอบกับการที่นายทรัมป์ เรียกร้องให้เลื่อนการจัดเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯก็ดูจะทำให้เกิดแรงเทขายเข้ามาในตาดหุ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีการปรับตัวลง และทำให้นักวิเคราะห์มองว่าเป็นปัจจัยที่ดีต่อราคาทองคำ
· ราคาซิลเวอร์ปิด -4.9% ที่ 23.22 เหรียญ ขณะที่แพลทินัมปิด -3.1% ที่ 895.2 เหรียญ และพลาเดียมปิด -4.4% ที่ 2,061.96 เหรียญ
· “ทรัมป์” เสนอเลื่อนเลือกตั้ง หวั่นเลือกตั้งทางไปรษณีย์ให้ผลลัพธ์ที่ไม่โปร่งใส
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เสนอเลื่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปลายปีนี้ออกไป โดยให้เหตุผลว่าว่าการเลือกตั้งทางไปรษณีย์จากวิกฤต COVID-19 จะนำไปสู่การโกงการเลือกตั้งได้
อย่างไรก็ดี เขาระบุว่า โดยส่วนตัวเขาไม่ได้ต้องการที่จะเลื่อนการเลือกตั้งออกไป เพราะเขาต้องการที่จะให้เกิดการเลือกตั้ง และต้องการผลลัพธ์ของการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างมาก เพียงแต่การเสนอของเขาเกิดขึ้นจากความกังวลว่าจะเกิดการทุจริตผลการเลือกตั้งอันเนื่องจากการส่งไปรษณีย์ให้แก่ประชาชนสหรัฐฯ
· จีดีพีสหรัฐฯ Q2/2020 ติดลบ 32.9% ย่ำแย่ที่สุดจากการ Shutdown สู้วิกฤตไวรัสโคโรนา
เศรษฐกิจสหรัฐฯเผชิญกับการเติบโตที่ย่ำแย่ที่สุดในไตรมาสที่ 2/2020 โดยข้อมูลจีดีพีขั้นต้นประจำไตรมาสที่ 2 นั้นออกมาแย่ลง -32.9% ซึ่งก็ถือว่าดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อย ขณะที่ข้อมูลจีดีพีไตรมาสแรกอยู่ที่ระดับ -5%
ทั้งนี้ ข้อมูลจีดีพีล่าสุดเรียกได้ว่าแย่ที่สุดตั้งแต่เคยมีการเก็บข้อมูลมาในช่วงกลางปี 1921
· ข้อมูลผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯปรับขึ้นต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ ล่าสุดเพิ่มมาที่ 1.434 ล้านราย
จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯปรับตัวขึ้นอีก 1.434 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว จึงสะท้อนว่าการระบาดของไวรัสโคโรนายังกัดกร่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และทำให้ภาพรวมตลอด 19 สัปดาห์ สหรัฐฯพบคนว่างงานไม่น้อยกว่า 1 ล้านรายในแต่ละสัปดาห์
· ข้อตกลงแพ็คเกจช่วยเหลือสหรัฐฯยังไม่คืบ ขณะที่แพ็คเกจช่วยเหลือคนตกงานจะหมดอายุลงวันนี้
รายงานจาก Reuters ระบุว่า สภาคองเกรสสหรัฐฯมีเวลาอีกเพียง 1 วันเท่านั้นก่อนที่แพ็คเกจช่วยเหลือจากวิกฤตไวรัสโคโรนาที่กำลังจะหมดอายุลง หลังจากที่สมาชิกพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันยังไม่เข้าใกล้ข้อตกลงในการขยายข้อตกลงออกไป หรือการปรับวงเงินช่วยเหลือจากเดิม 600 เหรียญ/สัปดาห์ ที่มอบให้แก่คนตกงานนับสิบล้านรายจากวิกฤตไวรัสโคโรนาในเวลานี้
ทั้งนี้ รีพับลิกันจะทำการโหวตเพื่อขยายต่ออายุแพ็คเกจดังกล่าวในสัปดาห์หน้า แต่ก็ดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้เล็กน้อย เพราะอาจถูกค้านจากพรรคเดโมแครตได้ ซึ่งทางทำเนียบขาวก็ดูจะเร่งดำเนินการเจรจาต่อสัปดาห์หน้าเพื่อหาทางประนีประนอมร่วมกัน
ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯเรียกร้องให้เดโมแครตอนุมัติขยายเวลาการเลื่อนชำระหนี้ให้แก่ประชาชนที่ตกงานจากวิกฤตไวรัสโคโรนาครั้งนี้
· วงเงินกู้ Main Street Loan ของเฟดเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในระดับปานกลาง โดยพบว่าโครงการปล่อยเงินกู้ช่วยเหลือภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กของเฟดดังกล่าวจะมีการปล่อยกู้เพิ่มขึ้น 68 ล้านเหรียญในสัปดาห์ที่สิ้นสุด 29 ก.ค. สู่ระดับ 82 ล้านเหรียญ จากเดิมที่ระดับ 14 ล้านเหรียญในสัปดาห์ก่อนหน้า
โปรแกรมดังกล่าวจะส่งผลให้เฟดทำการเข้าซื้อสินเชื่อริเริ่ม (Load Initiated) ร้อยละ 95% โดยผู้ให้กู้เอกชนให้กับผู้กู้ธุรกิจที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
· ปอมเปโอ กล่าวว่า สหรัฐฯจะขยายมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน
นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่าน กล่าวว่า เขาจะขยายมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่มด้านโลหะ โดยเจาะจงไปยัง 22 โลหะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน
· นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ระหว่าง 31.15-31.45 บาท/ดอลลาร์ โดยค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการประชุมเฟด ขณะเดียวกันก็เคลื่อนไหวตามทิศทางการไหลของเงินทุนต่างประเทศ
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดการณ์ว่าในปี 63 เศรษฐกิจไทยจะติดลบถึง 8.5% รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นหลัก ก่อนจะกลับมาขยายตัวในระดับ 4-5% ในปี 64 เนื่องจากขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวหลังจากผ่านจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2/63 ที่คาดว่าเศรษฐกิจจะติดลบเกินกว่า 10% โดยคาดว่าในไตรมาส 3/63 มีโอกาสเป็นบวกหรืออาจติดลบมากเท่ากับไตรมาสก่อน ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิดและพร้อมออกมาตรการดูแลที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา
- ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือน มิ.ย.63 ยังมีแนวโน้มชะลอตัวแต่ดีขึ้นจากเดือนก่อน โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น หลังจากมาตรการผ่อนปรนกิจการและกิจกรรมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนในหมวดการก่อสร้างปรับตัวดีขึ้น
- รมว.อุตสาหกรรม คาดว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังจะกลับมาฟื้นตัว หลังภาคอุตสาหกรรมไทยผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/63 ไปแล้ว ภายใต้เงื่อนไขว่าประเทศไทยจะไม่มีการระบาดของโควิด-19 รอบที่ 2
- บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) จะทำการปรับลดเพดานดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน ตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ในวันที่ 1 ส.ค.63 นี้เป็นต้นไป โดยที่สมาชิกไม่ต้องแจ้งความประสงค์เข้ามาที่บริษัท ดังนี้ บัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท อัตราดอกเบี้ยรวมอัตราค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินเท่ากับ 16% ต่อปี บัตรกดเงินสด "เคทีซี พราว" (KTC PROUD) และสินเชื่ออเนกประสงค์ "KTC CASH" อัตราดอกเบี้ยรวมอัตราค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินสูงสุดเท่ากับ 25% ต่อปี
- ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) เปิดเผยว่า แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังธนาคารยังคงต้องระมัดระวังความเสี่ยงในด้านหนี้เสียที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกที่สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ 3.4% โดยธนาคารประเมินว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นไปไม่เกิน 3.9%