· หุ้นเอเชียได้รับแรงหนุนจากข้อมูลการผลิตสหรัฐฯที่ดีขึ้น แต่ยังถูกกดดันจากไวรัสโคโรนา
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากข้อมูลภาคการผลิตสหรัฐฯและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง แม้ว่าจะถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาและการขายทำกำไรในช่วงก่อนหน้านี้
มาตรวัดของข้อมูลอุตสาหกรรมที่เปิดเผยเมื่อคืนนี้บ่งชี้ว่ากิจกรรมภาคการผลิตของสหรัฐฯขยายตัวในเดือนก.ค.ซึ่งเป็นอัตราที่เร็วที่สุดในรอบกว่าหนึ่งปีซึ่งช่วยให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯพุ่งขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม เหล่านักลงทุนบางส่วนยังคงระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา และการเจรจาต่อรองทางการทูตเกี่ยวกับการดำเนินงานของบริษัทเทคโนโลยีจีนในสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้น 0.41%
· ดัชนี Nikkei ทำระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ หลังหุ้นสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ค่าเงินเยนปรับอ่อนค่าลง
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางความเชื่อมั่นของเหล่านักลงทุนที่ได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมา รวมทั้งการปรับอ่อนค่าของค่าเงินเยน
โดยดัชนี Nikkei เพิ่มขึ้น 1.7% ที่ระดับ 22,573.66 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ด้านดัชนี Topix พุ่งขึ้น 2.14% ที่ระดับ 1,555.26 จุด
ด้านหุ้นสหรัฐฯปรับสูงขึ้นได้เมื่อคืนที่ผ่านมา หลังข้อมูลการผลิตที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีช่วยกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดขึ้นทำ All-Time High
ทั้งนี้ หุ้นของผู้ผลิตรถยนต์ที่มุ่งเน้นการส่งออกได้รับแรงหนุนจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่า ซึ่งขยับขึ้นจากระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนครึ่งเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์
· หุ้นจีนปิดปรับขึ้น จากหุ้นภาคธนาคารที่ปรับตัวสูงขึ้น
ตลาดหุ้นจีนปิดปรับตัวสูงขึ้นในวันนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่งของหุ้นภาคธนาคาร เนื่องจากเหล่านักลงทุนที่ตอบสนองต่อรายงานที่ว่าทางธนาคารกลางจีนได้ยกระดับมาตรการต่างๆ ทั้งการยกระดับนโยบายที่ตรงข้ามกับวัฏจักรเศรษฐกิจ (counter-cyclical) รักษาสภาพคล่องให้เหมาะสม พร้อมยืดเวลาชำระเงินกู้และดอกเบี้ยสำหรับธุรกิจขนาดกลาง เล็ก และขนาดย่อม
โดยดัชนี Shanghai Composite เพิ่มขึ้น 0.1% ด้านหุ้นกลุ่มบลูชิพ CSI300 เพิ่มสูงขึ้น 0.1% ที่ระดับ 4,775.80 จุด
· หุ้นยุโรปเคลื่อนไหวผสมผสาน ท่ามกลางเหล่านักลงทุนที่รอคอยการประกาศผลประกอบการภาคบริษัท
ตลาดหุ้นยุโรปเคลื่อนไหวผสมผสานกัน เนื่องจากเหล่านักลงทุนตอบสนองต่อผลประกอบการของบริษัท ที่อ่อนแอ ขณะที่ข้อมูลการผลิตที่เป็นบวกทั่วโลกส่งผลให้หุ้นปรับตัวสูงขึ้น
โดยดัชนี Stoxx600 เคลื่อนไหวทรงตัว ด้านหุ้นน้ำมันและก๊าซพุ่งสูงขึ้น 2.2% ขณะที่หุ้นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มปรับร่วงลง 1.2%
ทั้งนี้ นักลงทุนให้ความสนใจไปยังหารือเกี่ยวกับเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง โดยนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวหลังจากที่แยกตัวจากการประชุมร่วมกับพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ที่ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายจะเข้าใกล้ข้อตกลงร่วมกันเพียงเล็กน้อยต่อแพ็คเกจช่วยเหลือเศรษฐกิจจากไวรัสโคโรนา
อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
· ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาด กนง.คงดอกเบี้ยที่ 0.50% รอดูภาวะเศรษฐกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 5 ส.ค.นี้จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% เพื่อรอดูภาวะเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะตัวเลข GDP ไตรมาส 2/63 ที่คาดว่าจะหดตัวลึกสุดในรอบปี โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) จะประกาศในวันที่ 17 ส.ค.นี้ หากตัวเลขหดตัวมากกว่าคาดก็จะเพิ่มแรงกดดันให้ภาครัฐต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
อีกทั้งคาดว่า กนง. คงจะรอติดตามประสิทธิผลของมาตรการการเงินและการคลังที่ได้ออกมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดในระยะ 2 ที่ล่าสุด ได้มีการปรับลดเพดานดอกเบี้ยเป็นการทั่วไป 2-4% ต่อปี สำหรับบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล รวมถึงสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน พร้อมกับเพิ่มวงเงินหมุนเวียนสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล เพื่อช่วยลดภาระของภาคครัวเรือนและบรรเทาปัญหาหนี้เสียที่อาจเกิดขึ้น เพิ่มเติมไปจากมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ที่ดำเนินการไปเมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา
· นายกฯ คาดได้ข้อสรุปมาตรการเปิดประเทศรับกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติสัปดาห์หน้า
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) คาดว่าในสัปดาห์จะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับมาตรการที่จะเปิดรับนักธุรกิจต่างชาติให้สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ หลังจากวันนี้ได้มีการหารือในกรอบเบื้องต้นไปบ้างแล้ว โดยวันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการหารือมาตรการผ่อนคลายให้นักธุรกิจเข้ามาในประเทศ แต่ต้องมีมาตรการที่รัดกุม เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น ซึ่งนักธุรกิจที่เข้ามาจะเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่จึงคาดว่าจะมีข้อสรุปในสัปดาห์หน้า
อ้างอิงจากกรุงเทพธุรกิจ
หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืนถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ว่า จุดยืนของตนให้การสนับสนุนอยู่แล้วในเรื่องของการทำงาน วันนี้ เป็นการพิจารณาระดับ กมธ. แล้วจะมีการเสนอญัติของฝ่ายค้านเข้ามา ส่วนฝ่ายรัฐบาล ก็พร้อมที่จะร่วมมือ ในกลไกลต่างๆเหล่านี้ ในสภา รัฐบาล ก็มีส่วนร่วมในตรงนี้ในฐานะฝ่ายบริหาร หากมีการเสนอร่างเข้ามา รัฐบาล ก็จะเสนอควบคู่ไปด้วย เพื่อพิจารณาต่อกันไป
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ประเด็นสำคัญคือ วาระการเปิดสภา เหลือเพียงจำกัด คงต้องหารือเรื่องนี้ต่อไป ว่าจะเข้าใจตรงกันหรือไม่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควรจะแก้ไขตรงไหนอย่างไร ก็ต้องรอทาง กมธ.เสนอมา
"เชื่อว่าการเปิดประชุมสภาสมัยหน้า รัฐสภาจะพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ในเรื่องเหล่านี้ การแก้ไขต่างๆรัฐบาล ยืนยัน ให้ความร่วมมือทุกประการ"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการชุมนุมเรียกร้องต่างๆ ตนคิดว่า ไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะเป็นเรื่องการทำงาน ทุกคนต้องรู้กลไกลการทำงาน การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร ขณะเดียวกัน ตนก็สนับสนุนให้มีการแก้ไขในส่วนที่มันสมควรที่จะแก้ไข ตนไม่ได้ขัดแย้งอะไร โดยกมธ.จะได้หารือร่วมกัน และรับฟังว่ามีความคิดเห็นอย่างไร
"ผมจะให้พรรคร่วมรัฐบาลมาหารือร่วมกัน เพื่อร่างรัฐธรรมนูญ และเสนอสภา ควบคู่กันไป ตนยืนยันอย่างนี้ เพราะคือกลไกลที่ถูกต้อง ขอร้องว่าอย่าให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมากนักเลยในเวลานี้ เพราะเรากำลังแก้ปัญหาหลายอย่างด้วยกัน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว