• สรุปข่าวราคาทองคำ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 6 สิงหาคม 2563

    6 สิงหาคม 2563 | Gold News
 

ทองขึ้นทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ต่อเนื่องหลังทะยานเหนือ 2,000 เหรียญ

· ราคาทองคำปรับขึ้นทำสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์หลังจากที่ยืนเหนือ 2,000 เหรียญได้ จากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่ส่งผลให้นักลงทุนเลือกจะถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย และทำให้ปีนี้ทองคำเป็น Best Performing Assets ของปี 2020 โดยปีนี้ปรับขึ้นได้แล้ว 35% จากการเข้าซื้อของกลุ่มนักลงทุนที่เข้าถือครองมากขึ้นตั้งแต่มีการระบาดของไวรัสโคโรนา


· ราคาทองคำตลาดโลกเมื่อคืนนี้ทำ New High ใหม่ที่ 2,055.1 เหรียญ ก่อนจะปิดตลาดที่ +0.9% บริเวณ 2,035.79 เหรียญ


· สัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้นทำสูงสุดใหม่ที่ 2,070.3 เหรียญ ก่อนจะปิดปรับ +1.4% ที่ระดับ 2,049.3 เหรียญ


· กลุ่มนักลงทุนยังคงวิตกกังวลต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในการรับมือกับวิกฤตไวรัสโคโรนาที่อาจนำไปสู่การปรับขึ้นของเงินเฟ้อและจะทำให้สินทรัพย์อื่นๆลดมูลค่าลง ขณะที่การร่วงลงขงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ผันแปรตามเงินเฟ้ออายุ 10 ปี ปรับลง -1.06% จากแถวระดับ 0.1% ในช่วงต้นปีก็ได้สร้างความน่าสนใจให้แก่ราคาทองคำมากยิ่งขึ้


· กองทุนทองคำ SPDR ยังเพิ่มการถือครองอย่างต่อเนื่อง โดยวานนี้เข้าซื้ออีก 10.23 ตัน รวมการเข้าซื้อ 3 วันทำการแรกของเดือนส.ค. อยู่ที่ 26.01 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ระดับ 1,267.96 ตัน ซึ่งเป็นระดับการถือครองที่มากที่สุดนับตั้งแต่ 27 ก.พ. ปี 2018



อย่างไรก็ดี ภาพรวมปีนี้ตั้งแต่ม.ค. – 5 ส.ค. กองทุน SPDR มีการเข้าซื้อสุทธิ 374.71 ตัน โดยเป็นปีที่มีระดับการเข้าซื้อมากที่สุดตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลการถือครอง และสูงกว่าสถิติเดิมในปี 2009 ที่เข้าซื้อสุทธิเพียง 353.39 ตัน

· หัวหน้านักกลยุทธ์จาก TD Securities กล่าวว่า การอ่อนค่าของดอลลาร์และการปรับลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร และการพบเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในอนาคตทำให้เกิดความต้องการถือครองทองคำเพิ่มขึ้น

· ภาวะ Deadlock ของการหารือข้อตกลงของทางสหรัฐฯดูจะเป็นปัจจัยที่เข้ากดดันค่าเงินดอลลาร์ จึงทำให้เราเห็นดอลลาร์อ่อนค่าลง

· นักวิเคราะห์บางรายมองว่า ราคาทองคำค่อนข้างปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว และปรับขึ้นไม่น้อยกว่า 200 เหรียญในช่วงเวลากว่า 2 สัปดาห์ และจะมีการปรับฐานขึ้นตามมา

· ราคาซิลเวอร์ปรับขึ้นกว่า 4.3% ไปทำสูงสุดตั้งแต่เม.ย. ปี 2013 ที่ระดับ 27.13 เหรียญ ก่อนที่จะปิดตลาดที่ +2.8% บริเวณ 26.73 เหรียญ และภาพรวมปีนี้ซิลเวอร์ปรับขึ้นได้แล้วกว่า 50% ถือเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ดีที่สุดรองจากทองคำ

· ราคาแพลทินัมปิด +2.7% ที่ 962.63 เหรียญ และพลาเดียมปิด +1.6% ที่ 2,173.49 เหรียญ


· ดอลลาร์อ่อนค่า ขณะที่ตลาดหุ้นฟื้นตัวตามผลประกอบการและความหวังจะเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ โดยที่กลุ่มนักลงทุนให้ความสนใจกับการฟื้นตัวของผลประกอบการบริษัทจึงทำให้ตลาดหุ้นมีการฟื้นตัว ประกอบกับกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับการเพิ่มมาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจในสภาวะที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับการระบาดของไวรัสโคโรนา

ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.334% ที่ระดับ 92.84 จุด หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้วทำต่ำสุดรอบ 2 ปีที่ 92.593 จุด


· จ้างงานเอกชนสหรัฐฯเพิ่มขึ้นเพียง 167,000 ตำแหน่ง เมื่อเทียบกับที่คาดการณ์จะเห็นการจ้างงานที่ 1 ล้านตำแหน่ง

รายงานจาก ADP เผย การจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐฯปรับตัวขึ้นได้เพียง 167,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเห็นการจ้างงานในภาคเอกชนขยายตัวได้ 1 ล้านตำแหน่ง ขณะที่คืนวันศุกร์ต้องติดตามต่อกับข้อมูลการจ้างงานภาครัฐบาลสหรัฐฯ

หัวหน้านักกลยุทธ์จาก Crossmark Global Investment มองว่า การจ้างงานจะยังร่วงลงต่อ โดยที่เรากำลังให้ความสำคัญกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อแพ็คเกจกระตุ้นทางเศรษฐกิจ หากว่ายังไม่มีการได้รับประกันการว่างงานเพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนว่างงานก็จะเกิดคำถามสำคัญที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร และสิ่งที่ตามมาก็จะกระทบกับการฟื้นตัวในตลาดหุ้น หลังจากที่ตลาดหุ้นสามารถฝ่าเส้นค่าเฉลี่ย MA ราย 20 วันขึ้นมาได้ ก็น่าจะส่งผลให้เกิดการปรับตัวลดลงตามมาในตลาดหุ้น


· สภาคองเกรสเจรจาแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯต่อ อาจเห็นความชัดเจนมากขึ้นในสัปดาห์หน้า

หลังจากที่สภาคองเกรสหารือร่วมกันมาตลอดช่วง 7 วัน ก็ดูเหมือนว่าพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันจะยังไม่สามารถหาทางออกร่วมกันได้ และน่าจะไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ภายในสัปดาห์นี้

นายมิทช์ แมคคอนเนล ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐฯ กล่าวว่า บรรดาวุฒิสภาจะมีความชัดเจนมากขึ้นภายในสัปดาห์หน้า และเราน่าจะเห็นความคืบหน้ามากขึ้นหลังจากนั้น

ทางด้านสมาชิกวุฒิสภาบางราย เผยว่า รีพับลิกันมีการเสนอทางเลือกระหว่าง 400 เหรียญ หรือ 500 เหรียญต่อสัปดาห์ในการช่วยเหลือคนว่างงานในเดือนส.ค.นี้ และเดือนก.ย. อาจมีการลดเงินช่วยเหลือมาอยู่ที่ระดับ 400 เหรียญ/สัปดาห์ และตั้งแต่เดือนต.ค. – ธ.ค. แผนดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงมากถึง 80% และอาจมีการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ตกงานเพียง 300 เหรียญ/สัปดาห์หากมาตรการช่วยเหลือว่างงานยังไม่สามารถหาฉบับใหม่มาทดแทนได้

อย่างไรก็ดี สมาชิกสภาคองเกรสก็ดูเหมือนจะต้องการให้มีการขยายวงเงินการช่วยเหลือที่ 200 เหรียญ/ดอลลาร์ไปจนถึงเดือนก.ย.


· สมาชิกเฟดประสานเสียงหนุนคองเกรสกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่การระบาดของไวรัสดูจะชะลอการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

สมาชิกเฟด กล่าวในเชิงเดียวกันว่า การเพิ่มขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาดูจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอการฟื้นตัว และคาดว่าไวรัสโคโรนานั้นจะกดดันเศรษฐกิจสหรัฐฯรวมทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอเมริกานานกว่าที่คาดการณ์ไว้

และจะเห็นได้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจที่เริ่มตั้งแต่พ.ค. และมิ.ย. สะท้อนได้ถึงการกลับมาฟื้นตัวได้บางส่วนหลังได้รับผลกระทบตั้งแต่เริ่มต้นเดือนมี.ค. แต่การระบาดที่กลับมาเพิ่มมากขึ้นในเดือนก.ค. ก็ดูจะทำให้บางรัฐของประเทศสหรัฐฯกลับมาใช้นโยบายคุมเข้มครั้งใหม่

นายโรเบิร์ต เคพแลนด์ ประธานฟดสาขาดัลลัส กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของการระบาดดูจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯปรับตัวลงหรือฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่เราเคยคาดหวังไว้ ดังนั้น รัฐบาลและรัฐบาลท้องถิ่นจำเป็นต้องเร่งให้ความช่วยเหลือชาวอเมริกาที่ตกงานจากวิกฤตในเวลานี้ หลังจากที่สภาคองเกรสพลาดเป้าในสัปดาห์ที่แล้ว โดยปล่อยให้มาตรการเยียวยาคนว่างงาน 600 เหรียญ/สัปดาห์หมดอายุลงไป ขณะที่การเจรจาในเวลานี้สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ก็ดูจะไม่สดใส ซึ่งโดยส่วนตัวเขาเชื่อว่า มาตรการสวัสดิการคนว่างงานนั้นถือเป็นความจำเป็นอย่างต่อเนื่องต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ

นางลอเร็ตต้า เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาเคฟแลนด์ กล่าวว่า การระบาดของไวรัสโคโรนาจะเพิ่มความเสี่ยงขาลงให้แก่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และการกลับมารเปิดทำการทางเศรษฐกิจ ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการทางการเงินเพิ่มเติมเพื่อมาสนับสนุนภาคธุรกิจ, ภาคครัวเรือน และกลุ่มผู้บริโภคที่มีแนวโน้มอ่อนกำลัง จึงคาดหวังว่าสภาคองเกรสจะผ่านร่างดังกล่าวได้โดยเร็ววัน


· นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เผย ทีมบริหารทรัมป์ต้องการนำแอพลิเคชันยอดนิยมของจีนอย่าง TikTok และ WeChat ออกจากคลังดาวน์โหลดแอพลิเคชันของสหรัฐฯ


· ธนาคารกลางอังกฤษคาดหนุนเศรษฐกิจต่อจากวิกฤตไวรัสโคโรนา

ธนาคารกลางอังกฤษมีแนวโน้มที่จะคงการดำเนินนโยบายเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจจากการระบาดของไวรัสโคโรนาในการประชุมวันนี้ และน่าจะมีการติดตามข้อมูลที่คาดว่าจะเห็นคนตกงานเพิ่มมากขึ้

โดยในช่วงเวลาประมาณ 13.00น. ในวันนี้ทางธนาคารกลางอังกฤษมีแนวโน้มที่จะประกาศผลการประชุม ซึ่งตลาดคาดว่าจะเห็นการคงนโยบายดอกเบี้ยแบบ All-Time Low ที่ 0.1% รวมทั้งคงการใช้ QE ที่ระดับเดิม 7.45 แสนล้านปอนด์ หรือ 9.8 แสนล้านเหรียญ

อย่างไรก็ดี ในวันนี้ตลาดรอคอยการประกาศแนวโน้มเศรษฐกิจ และรายละเอียดของวิธีการที่จะชะลอการเข้าซื้อพันธบัตร


· นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ระหว่าง 30.85-31.12 บาท/ดอลลาร์


· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 5/63 มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปีเนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวตามการผ่อนคลายมาตรการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และการทยอยฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ยังต้องระวังความเสี่ยงจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอก 2

- กกร.ปรับคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 63 หดตัวเพิ่มขึ้นเป็น -9% ถึง -7% จากเดิม -8% ถึง -5% เนื่องจากมีความเป็นห่วงเศรษฐกิจไทยในช่วงข้างหน้ายังขาดแรงขับเคลื่อนสำคัญจากภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก ขณะที่มาตรการเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กำลังจะสิ้นสุดลง และสถานการณ์การจ้างงานยังเปราะบาง

- รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์ข้าวไทยในตลาดโลกไม่ค่อยดี โดยตั้งแต่ต้นปี 63 เนื่องจากราคาข้าวไทยสูงขึ้นมาก จากผลของเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินของประเทศคู่แข่ง จึงทำให้ผู้นำเข้าหลายประเทศหันไปสั่งซื้อข้าวจากประเทศอื่นแทน อย่างไรก็ดี ขณะนี้เงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่า จึงทำให้ราคาข้าวไทยไม่สูงมาก และผู้ซื้อหลายรายเริ่มกลับมาสั่งซื้อข้าวไทยเพิ่มขึ้น แต่ปีนี้ยอมรับว่า ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่าและการระบาดของโควิด-19 ทำให้ไทยไม่สามารถทำตลาดในต่างประเทศได้มากนัก ส่งผลให้คาดว่าปีนี้ไทยจะส่งออกข้าวได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้

- ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า แนวโน้มสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ของธนาคารในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะเห็นการขยายตัวได้มากกว่าอัตราขยายตัว 3-4% ในครึ่งปีแรก เป็นผลจากการที่ธนาคารเดินหน้าช่วยเหลือลูกค้าธุรกิจผ่านการให้สินเชื่อเพื่อเสริม

สภาพคล่อง สินเชื่อหมุนเวียนทางธุรกิจ และสินเชื่อเพื่อนำไปใช้คืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน ซึ่งเป็นกลุ่มสินเชื่อที่ลูกค้ามีความต้องการในช่วงครึ่งปีแรก และยังมีความต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง


อ่านข่าวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่: www.mtsgold.co.th

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com