· หุ้นทั่วโลกปรับร่วง หลังทรัมป์เล็งโจมตีบริษัทเทคโนโลยีจีน
ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับร่วงลง หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้จุดชนวนความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและจีนอีกครั้งด้วยการประกาศแบนการทำธุรกรรมใด ๆ ในสหรัฐฯร่วมกับแอปชื่อดังจากจีน ซึ่งก็คือ WeChat ของ Tencent และ Tiktok ของ ByteDance
ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วงลง 1.0%
· หุ้นญี่ปุ่นปรับลดลงจากผลประกอบการที่อ่อนแอ ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลดลง เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีนที่เพิ่มสูงขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯห้ามทำธุรกรรมกับบริษัท เทคโนโลยีของจีน ท่ามกลางผลประกอบการที่หม่นหมองและนักลงทุนระมัดระวังการลุนทนก่อนหน้าการประกาศข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐฯ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งพิเศษห้ามแอปพลิเคชัน TikTok และ WeChat ให้บริการหรือทำธุรกรรมใดๆ ในสหรัฐฯ
นอกจากนี้คำสั่งพิเศษดังกล่าวยังระบุ ห้ามแอปพลิเคชัน WeChat ของบริษัท เทนเซ็นต์ ทำธุรกรรมใดๆ ในสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน เนื่องจากทางการสหรัฐฯ อ้างว่า WeChat ได้รวบรวมข้อมูลการใช้งานอัตโนมัติของผู้ใช้งานและอนุญาตให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของชาวอเมริกันได้
สำหรับวันจันทร์หน้าตลาดญี่ปุ่นจะปิดทำการเนื่องในวันหยุด
ทั้งนี้ ดัชนี Nikkei ลดลง 0.39% ที่ระดับ 22,329.94 จุด
หุ้นจีนปรับลง ท่ามกลางความตึงเครียดสหรัฐฯ-จีน ขณะที่ภาพรวมรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น
ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลง หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามสั่งแบน "ByteDance" บริษัทแม่ "TikTok" อย่างไรก็ดี ภาพรวมรายสีปดาห์ปรับตัวสูงขึ้นจากข้อมูลการค้าที่ดีขึ้น
โดยดัชนีกลุ่มบลูชิพ CSI300 ร่วงลงประมาณ 2.6% ก่อนปิดปรับลง 1.2% ที่ระดับ 4,707.93 จุด ขระที่ดัชนี Shanghai Composite ร่วงลง 1% ที่ระดับ 3,354.01 จุด หลังจากร่วงลงไป 2.3% ในช่วงก่อหน้านี้
· หุ้นยุโรปเคลื่อนไหวทรงตัว โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถูกกดดันจากการที่ทรัมป์ ลงนามสั่งแบน "TikTok" และ "WeChat"
ตลาดหุ้นยุโรปเคลื่อนไหวทรงตัว เนื่องจากเหล่านักลงทุนให้ความสนใจไปยังความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน เกี่ยวกับกรณีการแบนบริษัทเทคโนโลยีของจีน
ทั้งนี้ ดัชนี Stoxx600 เคลื่อนไหวค่อนข้างทรงตัว ด้านหุ้นกลุ่มยานยนต์ปรับร่วงลง 0.7% ขณะที่หุ้นเทเลคอมเพิ่มขึ้น 0.6%
อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
· กระทรวงการคลังได้เปิดเผยผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดย บริษัท Japan Credit Rating Agency, Ltd.(JCR) ได้ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้รัฐบาลระยะยาวสกุลเงินตราต่างประเทศที่ระดับ A- และสกุลเงิน บาทที่ระดับ A และยืนยันมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stableoutlook)
· "แบงก์ชาติ" เผยผลสำรวจสถาบันการเงิน พบเริ่มเข้มงวดสินเชื่อรายใหญ่ ทั้งยังขยับดอกเบี้ยเพิ่ม หลังพบความเสี่ยงเริ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากพิษโควิดเศรษฐกิจชะลอ ด้าน "ไทยพาณิชย์" ยอมรับ เริ่มขยับดอกเบี้ยขึ้น ชี้เป็นไปตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น "กสิกรไทย-ซีไอเอ็มบีไทย" จับตาลูกค้าธุรกิจใกล้ชิด
· บิ๊กตู่" รับ เศรษฐกิจไทย ซบเซายาว 2-3 ปี กระทบพร้อมทั่วโลกลั่นทางรอดทุกคน ต้องร่วมมือลดขัดแย้ง ช่วยประเทศ ผ่านวิกฤติขอให้มั่นใจรัฐใช้งบฟื้นเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ
· ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากที่ได้เริ่มโครงการเราเที่ยวด้วยกันตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นมา ในภาพรวมมีผลตอบรับในทางที่ดี มีประชาชนสนใจลงทะเบียน 4.76 ล้านราย ลงทะเบียนสำเร็จ 4.51 ล้านราย
อ้างอิงจากกรุงเทพธุรกิจ
นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (ศบค.) แถลงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน ว่า ประเทศไทยพบจำนวน ผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 15 ราย ยอดผู้ป่วยสะสม 3,345 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 58 ราย ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 3,148 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 139 ราย