ราคาทองคำ Break สูงสุดเป็นประวัติการณ์ลงมาจากดอลาร์รีบาวน์
· ราคาทองคำร่วงลงกว่า 2% ในคืนวันศุกร์ หลังจากที่ข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐฯช่วยสนับสนุนให้ดอลลาร์รีบาวยน์ แต่สถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาที่ยังย่ำแย่ก็ยังคงช่วยหนุนให้ราคาทองคำยังคงปิดรายสัปดาห์ที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่องในรอบประมาณ 10 ปี
· ราคาทองคำตลาดโลกปิด -1.4% ที่ 2,033.89 เหรียญ หลังจากที่ไปทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,072.5 เหรียญ หรือปรับขึ้นรายสัปดาห์ได้ประมาณ +3% ซึ่งเป็น สัปดาห์ที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง 9 สัปดาห์
· สัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิด -2% ที่ระดับ 2,028 เหรียญ
· กองทุนทองคำ SPDR เทขายทองคำออก 5.84 ตันในคืนวันศุกร์ โดยล่าสุดถือครองทองคำที่ระดับ 1,262.12 ตัน
· กรรมการผู้จัดการฝ่ายการซื้อขายจาก High Ridge Futures กล่าวว่า ดอลลาร์รีบาวน์ค่อนข้างแข็งแกร่งจากข้อมูลจ้างงานคืนวันศุกร์ จึงทำให้เกิดแรงเทขายเข้ามาในตลาดทองคำ และถึงแม้ข้อมูลเศรษฐกิจจะออกมาดีขึ้นกว่าที่คาด ซึ่งหากข้อมูลทางเศรษฐกิจค่อยๆฟื้นตัวก็มีโอกาสจะเห็นมาตรการเศรษฐกิจค่อยๆลดโอกาสลงไป
· ค่าเงินดอลลาร์รีบาวน์จากต่ำสุดรอบ 2 ปี หลังจากที่ข้อมูลจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯมีการขยายตัวได้ 1.763 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ค. เมื่อเทียบกับระดับ 4.791 ล้านตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ท่ามกลางปัญหาความตึงเครียดทางการค้าครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐฯและจีน
· นักวิเคราะห์จาก ED&F Man Capital Markets กล่าวว่า หากมีการเห็นพ้องต่อการกระตุ้นทางเศรษฐกิจก็อาจกลายมาเป็นปัจจัยที่เข้ากดดันดอลลาร์ต่อได้ ขณะที่ภาพทางเศรษฐกิจโลกก็ยังค่อนข้างหน้าเป็นกังวล และนั่นจำเป็นต้องส่งผลให้เกิดการผ่อนคลายทางการเงินต่อไป และนั้นหมดนี้คือความผันผวนในตลาดทอง
· อย่างไรก็ดี ในปีนี้คาดว่าจะเห็นราคาทองคำช่วงสิ้นปีอยู่ที่ 2,200 - 2,300 เหรียญ
· ภาพรวมราคาทองคำปีนี้ปรับตัวขึ้นได้แล้วประมาณ 34% จากการระบาดของไวรัสโคโรนาไวรัสที่กดดันทิศทางเศรษฐกิจโลก หนุนการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่
· ราคาซิลเวอร์ปิด -3% ที่ 28.07 เหรียญ หลังจากที่ช่วงต้นสัปดาห์ทำสูงสุดตั้งแต่ก.พ. ปี 2013 บริเวณ 29.84 เหรียญ และสัปดาห์ที่แล้วซิลเวอร์ปิดปรับขึ้นได้กว่า 15.5%
· แพลทินัมปิด -4.1% ที่ 957.36 เหรียญ ทางด้านราคาพลาเดียมปิด -2.9% ที่ 2,156.97 เหรียญ
· ทรัมป์ลงนามคำสั่งพิเศษ แจกเงินคนว่างงาน หลังเจรจาเยียวยารอบใหม่ล่ม
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีการลงนามคำสั่งพิเศษสานต่อมาตรการแจกเงินพิเศษเยียวยาคนตกงานจากวิกฤตไวรัสโคโรนาที่หมดอายุเมื่อช่วงสิ้นเดือนก.ค. ที่ผ่านมา หลังเดโมแครตกับรัฐบาลเจรจาออกมาตรการเยียวยารอบใหม่ล้มเหลว โดยการลงนามล่าสุดของนายทรัมป์ จะเป็นการเพิ่มเงินในสิทธิประโยชน์คนว่างงานอีก 400 เหรียญ/สัปดาห์ จากแพ็คเกจฉบับเดิมที่ 600 เหรียญ/สัปดาห์
· จ้างงานสหรัฐฯเพิ่มขึ้นเกือบ 1.8 ล้านราย ดีกว่าคาดแม้จะได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา
ข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯในเดือนก.ค. ชะลอตัวลงแต่ก็ยังออกมาดีขึ้นกว่าที่คาดท่ามกลางยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่มสูงขึ้น
การจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯเดือนก.ค. ปรับขึ้น 1.763 ล้านตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานปรับตัวลงแตะ 10.2% จาก 11.1% ในเดือนก่อนหน้า
ภาพรวม Part-Time Jobs ก็ยังปรับลงจาก 18% สู่ระดับ 16.5%
· ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาทั่วโลกพุ่งทะลุ 20 ล้านราย ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตทั่วโลกปรับขึ้นมาที่ 733,918 ราย ขณะที่สหรัฐฯมีผู้ติดเชื้อทะลุ 5.1 ล้านราย ในขณะที่ผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯอยู่ที่ 165,617 ราย
เยอรมนียืนยันยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 555 ราย สู่ระดับ 215,891 ราย ขณะที่ออสเตรเลียก็พบยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาเพิ่มจำนวนขึ้นมากที่สุดในหนึ่งวัน
· ประธานเฟดมินนีแอโพลิส คาดสหรัฐฯควร Shutdown 6 สัปดาห์เพื่อป้องกันไวรัสโคโรนา
นายนีล คาร์ชคาริ ประธานเฟดสาขามินนีแอโพลิส กล่าวว่า ศรษฐกิจสหรัฐฯจำเป็นต้องกลับมาทำการ Shutdown ทางเศรษฐกิจอีกครั้งเพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสโคโรนาที่มากขึ้น
· ประธานเฟดสาขาชิคาโก ชี้แพ็คเกจช่วยเหลือวิกฤตไวรัสโคโรนาเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก
นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวว่า สหรัฐฯควรเร่งสนตับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือคนว่างงานท่ามกลางการระบาดที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและยังไม่สามารถควบคุมได้
ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นของประชาชนเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก และการมีแพ็คเกจช่วยเหลือก็เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากเช่นกัน
· สหรัฐฯ เดินเกมรุกจีนคว่ำบาตร "แครี แลม"
ทีมบริหารของนายทรัมป์ จะทำการประกาศคว่ำบาตร นางแครี แลม ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน เพื่อตอบโต้กรณีจีนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ในฮ่องกง และดุจะยิ่งทำให้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีนทวีความรุนแรงมากขึ้น
เมื่อวันที่ 7 ส.ค.2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝ่ายบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ออกคำสั่งคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ระดับสูงฮ่องกง และจีนแผ่นดินใหญ่ 11 คน หนึ่งในนั้นคือ นางแครี แลม ผู้บริหารสูงสุดเขตปกครองพิเศษฮ่องกง
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า บทบาทของ นางแครี่ แลม ในการบังคับใช้นโยบายของปักกิ่ง เป็นการละเมิดเสรีภาพและประชาธิปไตยของฮ่องกง
ขณะที่นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ จะยืนเคียงข้างชาวฮ่องกง และใช้ใช้อำนาจของเราเพื่อจัดการกับผู้ที่ทำลายเอกราชของฮ่องกง
· จีนพุ่งเป้าโจมตีทางไซเบอร์ไปยังโครงสร้างพื้นฐานการเลือกตั้งของสหรัฐฯ
นายโรเบิร์ต โอเบรียน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงสหรัฐฯ กล่าว่า แฮกเกอร์ที่ของรัฐบาลจีนได้กำหนดเป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานการเลือกตั้งของสหรัฐฯก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020
ซึ่งบ่งชี้ถึงระดับการแทรกแซงของจีนที่มีต่อสหรัฐฯมากยิ่งขึ้น
· กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการใช้แก๊สน้ำตาสลายกลุ่มผู้ประท้วง หลังสถานที่ราชการหลายแห่งในกรุงเบรุตได้รับความเสียหายจากการบุกรุกของผู้ประท้วง ซึ่งเข้าไปทำลายทรัพย์สินภายในอาคารเพื่อแสดงความโกรธแค้นต่อรัฐบาล จากเหตุระเบิดรุนแรงที่ท่าเรือหลักเบรุต ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมากโดยกลุ่มผู้ประท้วงส่วนใหญ่ยืนยันต้องการขับไล่กลุ่มขั้วอำนาจเก่า ซึ่งครองการเป็นรัฐบาลมานานกว่า 30 ปี
· นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 30.90-31.40 บาท/ดอลลาร์ โดยปัจจัยสำคัญ ได้แก่ สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนและการเจรจาระดับสูงของผู้แทนการค้าของทั้งสองประเทศในเรื่องผลความคืบหน้าตามข้อตกลงเฟสแรก
อย่างไรก็ดี การที่เงินบาทแข็งค่าผ่านแนว 31.00 บาท/ดอลลาร์ แตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 1 เดือนที่ 30.98 บาท/ดอลลาร์ ก่อนจะลดช่วงบวกลงบางส่วนตามการปรับโพสิชัน หลังจากที่ ธปท.เปิดเผยว่า เงินบาทมีความผันผวนมากขึ้น ซึ่ง ธปท.จะติดตามการเคลื่อนไหวของเงินบาทอย่างใกล้ชิด