ทองคำปรับตัวลงจากดอลลาร์แข็ง ท่ามกลางนักลงทุนจับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ
· เมื่อวานนี้ราคาทองคำปรับตัวลดลงหลังจากที่ขึ้นไปทำ All-Time High จากดอลลาร์ที่ทรงตัวในทิศทางแข็งค่าในรอบเกือบ 1 สัปดาห์ ขณะที่นักลงทุนรอคอยข้อตกลงร่างงบประมาณเยียวยาเศรษฐกิจจากพิษ Covid-19
· ราคาทองคำตลาดโลกปิด -0.2% ที่ 2,030.26 เหรียญ หลังทำ High ที่ 2,072.5 เหรียญ ด้านสัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิด +0.6% ที่ระดับ 2,039.7 เหรียญ
· หัวหน้าเทรดเดอร์จาก U.S. Global Investors กล่าวว่า ราคาทองคำมีการอ่อนตัวกลับลงมาจากเทรนขาขึ้น จากแรงขายทำกำไรจากการที่ราคาปรับขึ้นไปอย่างรวดเร็วตลอดช่วง 2 วันทำการ แต่การที่ดอลลาร์แข็งค่าก็ดูจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่กดดันราคาทองคำ
ทั้งนี้ ค่าเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดรอบหนึ่งสัปดาห์จากกลุ่มนักลงทุนที่จับตาแพ็คเกจช่วยเหลือของสหรัฐฯ และการพบกันของสหรัฐฯและจีนในวันที่ 15 ส.ค. ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสองประเทศที่ยังคุกรุ่น
· นักกลยุทธ์การตลาดอาวุโสจาก RJO Futures กล่าวว่า รัฐบาลทั่วโลกดูจะยังไม่ยุติการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อต่อสู้กับวิกฤตไวรัสโคโรนาในระยะสั้น และดูจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาทองคำ ซึ่งทองคำคาดจะมีเป้าหมายถัดไปที่ 2,090 เหรียญ
· กองทุน SPDR เมื่อวานนี้ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม โดยปัจจุบันถือครองทองคำที่ระดับ 1,262.12 ตัน
· ราคาซิลเวอร์ปรับขึ้นได้กว่า 3.9% ก่อนจะปิด +3.2% ที่ 29.2 เหรียญ ขณะที่แพลทินัมปิด +2.8% ที่ระดับ 988.53 เหรียญ หลังทำสูงสุดตั้งแต่ 20 ก.พ. บริเวณ 1,002.25 เหรียญ
· ราคาพลาเดียมปิด +2.7% ที่ระดับ 2,234.59 เหรียญ
· ยอดติดเชื้อทั่วโลกทะลุ 20 ล้าน, มนูชินชี้ข้อตกลงเยียวยาอาจเกิดขึ้นได้สัปดาห์นี้
รายงานจำนวนยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกพุ่งสูงทะลุ 20 ล้านราย ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯยังคงเป็นอันดับ 1 ของโลกที่มีผู้ติดเชื้อแล้วไม่น้อยกว่า 5.25 ล้านราย ขณะที่นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ เผยถึงความตั้งใจที่จะมีการเพิ่มวงเงินช่วยเหลือเยียวยาเศรษฐกิจจากวิกฤตไวรัสโคโรนา
· เจรจาแพ็คเกจโคโรนายังชะงัก ทั้งสองฝ่ายยังมีความเห็นต่าง
บรรดาผู้นำสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ร่วมกับทีมบริหารของนายทรัมป์ กล่าวถึงความพร้อมที่จะกลับมาเจรจาหาข้อตกลงช่วยเหลือโคโรนาไวรัส แต่การเจรจาก็ยังดูจะมีอุปสรรคจากการที่พรรคเดโมแครต ชี้ว่พรรครีพับลิกันจำเป็นต้องหาตรงกลางในการเจรจาระหว่างกัน
อย่างไรก็ดี ณ ขณะนี้ยังคงมีความไม่ชัดเจนว่า พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันจะสามารถเชื่อมความแตกต่างระหว่างกันในเรื่องของแรงงาน, ภาคธุรกิจ และการจัดการของรัฐบาลท้องถิ่นในวิกฤตไวรัสโคโรนาได้อย่างไร
· เฟดซื้อพันธบัตรกลุ่ม Blue-Chip และ Junk Bond เพิ่มขึ้นภายใต้โครงการ Main Street Loans
รายงานการเข้าซื้อของเฟดในเดือนก.ค. พบว่า เฟดมีการเพิ่มการถือครองพันธบัตรมากขึ้นจากบริษัท Blue-Chip ต่างๆ ประกอบด้วยบริษัท Microsoft และ Coca-Cola เพิ่มมากขึ้น เพิ่มเสริมสภาพคล่องทางการเงินในตลาดในช่วงสภาวะวิกฤตไวรัสโคโรนา
ขณะที่รายละเอียดการเข้าซื้อพันธบัตรครั้งใหม่ของเฟดนั้นมีขึ้นเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยโครงการ Main Street ของเฟดจะมีความสามารถในการปล่อยกู้มากถึง 6 แสนล้านเหรียญตั้งแต่เดือนแรกภายใต้บริษัทที่ได้รับการอนุมัติจำนวน 13 แห่ง ที่มีมูลโดยรวมประมาณ 92 ล้านเหรียญ ซึ่งก็ดูเหมือนโครงการดังกล่าวจะยังไม่เป็นที่น่าสนใจสำหรับทั้งผู้กู้และให้กู้มากเท่าไหร่นัก
· ประธานเฟดชิคาโก กล่าวว่า คนว่างงานที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตไวรัสโคโรนาเสี่ยงเผชิญความไม่แน่นอนสูงในอนาคต
นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาดูจะสร้างความลำบากให้แก่คนว่างงาน และบรรดาผู้กำหนดนโยบายจำเป็นต้องร่วมมือกันเพิ่มนโยบายในการช่วยเหลือประชาชนเพื่อลดความเสียหายและความเสี่ยงที่จะได้รับเพิ่มเติมในอนาคต
· ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาในเด็กของสหรัฐฯเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนก.ค.
จำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ของเด็กในสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 40% ในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายของเดือนก.ค. รายงานนี้เผยเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่นักเรียนสหรัฐฯหลายสิบล้านคนจะมีกำหนดการเริ่มปีการศึกษาใหม่
ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพกำลังจับตาดูการติดเชื้อไวรัสโคโรนาในเด็กและวัยรุ่นเนื่องจากเจ้าหน้าที่กำลังต่อสู้กับคำถามที่หนักหน่วงว่าจะเปิดโรงเรียนสำหรับชั้นเรียนแบบการเรียนตัวต่อตัวอีกครั้งหรือไม่หรือใช้รูปแบบการเรียนรู้เสมือนจริงหรือการเรียนผสมผสานกันทั้งสองอย่าง
· สถาบัน Ifo เยอรมนี คาดภาคธุรกิจเยอรมนีขยายเวลาคุมไวรัสโคโรนา เฉลี่ย 8.5 เดือน ท่ามกลางจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น
ผลสำรวจภาคธุรกิจยูโรโซนจาก Ifo ชี้ว่า การกลับมาระบาดของไวรัสโคโรนาที่เพิ่มมากขึ้นได้สร้างความกังวลต่อการเติบโตอีกครั้ง และจะเห็นได้ว่าในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมารายงานยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างน่าเป็นกังวลอย่างมาก
รายงานจาก RKI ชี้ว่า จำนวนยอดผู้ติดเชื้อรายวันที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างน่าเป็นกังวลและต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้าย
นักเศรษฐศาสตร์จาก Deutsche Bank กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในเยอรมนีและหลายๆประเทศถือเป็นสัญญาณเตือน และคาดว่าเราจะเผชิญกับปัญหาดังกล่าวจนถึงฤดูใบไม้ผลิของปี 2021 ขณะที่วัคซีนคาดจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปีหน้า และจากนั้นเราจึงจะได้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี
อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์จาก Deutsche Bank ยังคาดว่าจีดีพีเยอรมนีจะหดตัวลงไป 6.4% ในปีนี้ (เทียบกับคาดการณ์ก่อนหน้าในช่วงต้นพ.ค. ที่คาดไว้ที่ -9%) และปรับขึ้นอีก 4% ในปี 2021 โดยที่เยอรมนีน่าจะไม่สามารถฟื้นตัวได้ดีในช่วงก่อนเกิดการระบาดได้จนกว่าจะถึงประมาณกลางปี 2022
· เศรษฐกิจสิงคโปร์หดตัว -13.2% เมื่อเทียบรายปีใน Q2/2020 ย่ำแย่มากกว่าที่คาดการณ์
กระทรวงการค้าและภาคอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ กล่าวว่า เศรษฐกิจสิงคโปร์หดตัวลงไปมากถึง -42.9% ในช่วงไตรมาสที่ 2/2020 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปี และทำให้ภาพทางเทคนิคเข้าสู่ภาวะถดถอย
แต่หากเมื่อเทียบรายปีจะพบว่า จีดีพีสิงคโปร์ไตรมาสที่ 2 หดตัวไป -13.2% ซึ่งก็ถือว่าย่ำแย่กว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะหดตัวที่ -12.6%
สำหรับภาพรวมจีดีพีสิงคโปร์ปีนี้คาดจะหดตัวระหว่าง -5% และ -7%
· ข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่านตกอยู่ในความเสี่ยงเนื่องจากสภา U.N. เตรียมลงมติคว่ำบาตรการใช้อาวุธ
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติกำลังเตรียมที่จะลงคะแนนเสียงในสัปดาห์นี้เกี่ยวกับข้อเสนอของสหรัฐฯที่จะขยายการห้ามอาวุธที่อิหร่านซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่นักการทูตบางคนกล่าวว่าจะล้มเหลวและกำหนดชะตากรรมของข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านและนานาประเทศ ยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยง
นักการทูตของฝรั่งเศสและเยอรมนีออกหน้าประนีประนอมกับรัสเซียและจีนเกี่ยวกับการขยายการห้ามใช้อาวุธ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ รัสเซียและจีนซึ่งเป็นพันธมิตรของอิหร่านได้ส่งสัญญาณคัดค้านมาตรการการติดอาวุธของสหรัฐฯมายาวนาน
ผู้แทนของสหรัฐฯ นายเคลลีย์ คราฟท์ กล่าวว่า จีนกับรัสเซียต้องการผลประโยชน์จากการปลดอาวุธในอิหร่าน
· นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.00-31.10 บาท/ดอลลาร์
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) โดยฝ่ายวิจัยธุรกิจ เปิดเผยบทวิจัย เรื่อง "M&A โลก…คาดจะกลับมาโตหลังไวรัสโคโรนาคลี่คลาย" โดยระบุว่า การควบรวมกิจการ (Mergers & Acquisitions : M&A) มีแนวโน้มกลับมาเติบโตหลังไวรัสโคโรนา คลี่คลายโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีและธุรกิจการแพทย์ที่สอดรับกับเทรนด์ธุรกิจใหม่ (New Normal) โดยขณะนี้หลายบริษัทอยู่ระหว่างชะลอการลงทุนเพื่อปรับกลยุทธ์ M&A ให้สอดรับกับภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป รวมถึงมองหาบริษัทใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพในระยะยาว
อ่านข่าวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่: www.mtsgold.co.th