ทองขึ้นหลังว่างงานสหรัฐฯพุ่งแตะระดับล้านราย ตลาดกังวลเศรษฐกิจฟื้นตัว
· ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเมื่อวานนี้หลังจากที่ข้อมูลจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ออกมาแย่ลงกว่าที่คาดแตะหลักล้านอีกครั้ง หลังจากที่รายงานประชุมเฟดล่าสุดยังมีสัญญาณตอกย้ำถึงความกังวลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
· ราคาทองคำตลาดโลกปิด +0.6% ที่ 1,940.14 เหรียญ ด้านสัญญาทองคำปิด -1.2% ที่ 1,946.5 เหรียญ
· กองทุนทองคำ SPDR ถือครองทองคำเท่าเดิมที่ระดับ 1,252.38 ตัน
· หัวหน้าเทรดเดอร์จาก U.S. Global Investors กล่าวว่า รายงานเฟดส่งผลให้ประชาชนทุกคนจำเป็นต้องหันมาถือทองคำเพิ่ม จากความกังวลที่ว่าการระบาดของไวรัสโคโรนาและผลกระทบทางเศรษฐกิจ พร้อมระบุถึงความต้องการการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อหนุนกลุ่มผู้บริโภค
· บรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ มองไปทางเดียวกันว่า ข้อมูลเศรษฐกิจอย่างจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่ออกมาแย่กว่าที่คาดเหนือระดับ 1 ล้านรายอีกครั้งในสัปดาห์ที่แล้ว ประกอบกับการอ่อนตัวของตลาดหุ้นได้ช่วยหนุนความต้องการทองคำ
· สำหรับดัชนีดอลลาร์ที่มีการเคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ยังคงเป็นตัวจำกัดการปรับขึ้นของราคาทองคำ
· นักวิเคราะห์จาก ED&F Man Capital Markets กล่าวว่า ปัจจัยพื้นฐานหลักที่มาสนับสนุนราคาทองคำยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่การกระตุ้นเศรษฐกิจยังคงดำเนินต่อไป ดังนั้น จึงค่อนข้างเร็วเกินไปที่จะบอกว่าเศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัว
· ธนาคารกลางต่างๆยังคงมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม รวมทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ใกล้ระดับศูนย์เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถรับมือกับวิกฤตการรระบาดของไวรัสโคโรนาได้ โดยทั้งหมดนี้ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำปีนี้ปรับตัวขึ้นมาแล้วประมาณ 27%
· ราคาซิลเวอร์ปิด +1.2% ที่ 27.04 เหรียญ ด้านแพลทินัมปิด -2.2% ที่ 911.4 เหรียญ และราคาพลาเดียมปิด +0.3% ที่ 2,163.09 เหรียญ
· จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯรายสัปาดห์พุ่ง ส่อกังวลตลาดแรงงานไม่สดใส
การประกาศจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯวานนี้ ออกมาสูงขึ้นเหนือ 1 ล้านรายอีกครั้งในสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนาที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลล่าสุดพบผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานมากถึง 1.106 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากข้อมูลในสัปดาห์ก่อนที่มีการปรับทบทวนมาที่ 971,000 ราย
ขณะที่การเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์ส่งผลให้นักเศรษฐศาสตร์ คาดการณ์ว่า สหรัฐฯจะมียอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยรวมของประเทศอยู่ที่ระดับประมาณ 15 ล้านราย หลังจากที่สัปดาห์ที่สิ้นสุดเมื่อ 8 ส.ค. ปรับตัวลงมาเป็นครั้งแรกที่ 14.844 ล้าน จากสัปดาห์ก่อนที่ 15.48 ล้านราย
· โพเวลล์ประธานเฟดจะกล่าวถึงการทบทวนกรอบนโยบายของเฟดในวันพฤหัสบดีหน้า
รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟดจะกล่าวถ้อยแถลงถึงความพยายามของเฟดเรื่องการปรับนโยบายทางการเงินให้มีความเหมาะสมในสัปดาห์หน้า ณ การประชุมธนาคารกลางประจำปีหรือ Jackson Hole Symposiumณ รัฐไวโอมิง ที่จัดโดยเฟดสาขาแคนซัสซิตี้
ทั้งนี้ นายโพเวลล์มีกำหนดการกล่าวทบทวนกรอบการดำเนินนโยบายในวันที่ 24 ส.ค. (20.10น.ตามเวลาไทย) ของวันดังกล่าว
กลุ่มนักลงทุนรอคอยรายละเอียดความเป็นไปได้ว่าเฟดจะมีการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายเงินเฟ้ออย่างไรจากสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้น และนั่นอาจหมายถึงการที่เฟดอาจมีการคุมเข้มต่อมาตรการทางการเงินนานกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ หลังจากที่รายงานประชุมเฟดก.ค. ที่เปิดเผยเมื่อไม่กี่วันก่อนดูมีการเข้าใกล้ข้อตกลงกันได้ แต่เฟดก็ยังไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ
· เศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวดีขึ้น ท่ามกลางยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่ลดลง
ชาวอเมริกาเริ่มกลับไปร้านอาหารและโรงยิมในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมและการประกาศการจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้น เป็นสัญญาณที่ดีว่าสหรัฐฯประสบความสำเร็จโดยปราศจากความล้มเหลว
ข้อมูลความถี่สูงประมาณการว่าผู้ซื้อร้านค้าปลีกและการจ้างงานในอุตสาหกรรมเป็นตัวชี้วัดดัชนีในการฟื้นตัว หลังจากมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา โดยส่วนมากเพิ่มขึ้นสูงขึ้นเมื่อต้นเดือนและกลางเดือน ส.ค.
จนถึงตอนนี้ยังมีความกังวลเล็กน้อย จากการสิ้นสุดของประกันการจ้างงาน ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค นาย จอร์จ ดาโค หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Oxford Economics ของสหรัฐฯ ยังได้บันทึกดัชนีการฟื้นตัวของบริษัท พุ่งขึ้น 1.3 เปอร์เซ็นต์ ในวันศุกร์ที่ 7 ส.ค.
· สถานการณ์ไวรัสโคโรนาล่าสุด:
ยอดผู้เสียชีวิตสะสมทั่วโลกใกล้ทะลุ 800,000 ราย ด้านผู้ติดเชื้อสะสมรวมสูงกว่า 22.8 ล้านราย ขณะที่สหรัฐฯเป็นประเทศอันดับ 1 ของโลกมียอดผู้เสียชีวิตใกล้ 180,000 ราย โดยล่าสุดยอดสะสมอยู่ที่ 177,394 ราย ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯสะสมที่ 5.7 ล้านราย
· ผู้อำนวยการ CDC ชี้ อัตราการเสียชีวิตจาก Covid-19 จะชะลอตัวลงในสัปดาห์หน้า
ดร.โรเบิร์ต เรดฟิลด์ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมโรคติดต่อและการระบาด (CDC) กล่าวว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาจะเริ่มต้นชะลอตัวลงในสัปดาห์หน้า
โดยจะเริ่มเห็นอัตราการติดเชื้อใหม่รายวันในสหรัฐฯเริ่มมีการลดลงตั้งแต่ช่วงสิ้นเดือนก.ค. โดยอ้างอิงจากจำนวนยอดผู้ติดเชื้อใหม่ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
· Coronavirus in U.S. Congress: 16 สมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯติด Covid-19
รายงานล่าสุดจาก CNBC ระบุว่า เมื่อวานนี้พบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ รวมทั้งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯจำนวนทั้งสิ้น 16 รายมีผลเลือดเป็นบวก โดยเป็นสมาชิกของพรรครีพับลิกัน 9 ราย และอีก 7 รายเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต
· เยอรมนี, สเปน พบยอดผู้ติดเชื้อรายวันทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่เม.ย. ท่ามกลางการกลับมาระบาดทั่วยุโรปอีกครั้ง
เยอรมนีมีรายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,707 รายภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นยอดติดเชื้อรายวันที่เพิ่มสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. โดยที่รายงานยอดติดเชื้อโดยรวมของประเทศอยู่ที่ 228,261 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสมที่ 9,253 ราย
สเปนพบผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มที่ 3,715 รายภายใน 24 ชั่วโมงและมี่ยอดเสียชีวิตเพิ่ม 127 ราย
ขณะที่ฝรั่งเศสพบยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายใหม่เพิ่ม 3,776 ราย โดยเป็นการเพิ่มขึ้นระดับวันที่สูงกว่า 3,000 รายต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 5 วัน
· อิตาลีพบยอดผู้ติดเชื้อใหม่ 845 รายภายใน 24 ชั่วโมง สูงสุดตั้งแต่ที่ยุติการ Lockdown ในเดือนพ.ค.
· รัสเซียกล่าวถึงวัคซีนไวรัสโคโรนาพร้อมทดสอบกับอาสาสมัคร 40,000 ราย ท่ามกลางความกังวลเรื่องความปลอดภัย
รัสเซียยังคงกล่าวอ้างถึงความสำเร็จรายแรกของโลกที่มีการจดทะเบียนวัคซีน Covid-19 และเร็วๆนี้จะทำการทดสอบกับอาสาสมัครจำนวน 40,000 ราย
· ดัชนีราคาผู้บริโภคของญี่ปุ่นทรงตัว ท่ามกลางการระบาดของไวรัสสร้างความกังวลเงินฝืด
ดัชนีราคาผู้บริโภคของญี่ปุ่นไม่เปลี่ยนแปลงในเดือน ก.ค. ผลจากการระบาดของไวรัสโคโรนาส่งผลกระทบให้อุปสงค์ของแต่ละครัวเรือนและกลับสู่สภาพความกลัวด้านภาวะเงินฝืด
นักวิเคราะห์ กล่าวว่า จากไตรมาสที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่ล่าช้า ทำให้คาดการณ์ได้ว่าอุปสงค์ของผู้บริโภคลดลงท่ามกลางการแพร่ระบาดอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลต่อกำไร อาชีพและการลงทุนทางธุรกิจ
ทั้งนี้ ความหวาดกลัวในการกลับมาของเงินฝืดทำให้ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น อยู่ภายใต้ความกดดัน จึงดำเนินการกระตุ้นทางการเงินครั้งใหญ่และรักษาอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นพิเศษเพื่อสนับสนุนรัฐบาลในการใช้จ่ายของการคลังที่พุ่งเป้าไปที่วิกฤติปัญหาสุขภาพ
· ทรัมป์ลั่นจะถอนกำลังทหารในอิรัก พร้อมจับตาข้อตกลงน้ำมัน
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯให้คำมั่นที่จะถอนกำลังทหารอีกส่วนหนึ่งที่ยังอยู่ในอิรัก แต่สหรัฐฯก็พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านหากอิหร่านกระทำการใดๆที่ถือเป็นศัตรู ขณะที่ภาคธุรกิจของสหรัฐฯก็พร้อมที่จะรอข้อตกลง้ำมันครั้งใหญ่กับทางอิรักอยู่ด้วยเช่นกัน
· นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.35 - 31.55 บาท/ดอลลาร์ โดยค่าเงินบาทระหว่างวันเงินบาทยังค่อนข้างผันผวน ซึ่งคาดว่าเป็นผลจากปัจจัยในประเทศทั้งเรื่องความกังวลต่อการกลับมาระบาดของไวรัสโคโรนาระลอกสอง รวมทั้งความกังวลกับสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง ขณะที่ทิศทางวันนี้มองว่าเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- กระทรวงการคลัง ออกพันธบัตรออมทรัพย์ 2 รุ่น วงเงินรวม 5 หมื่นล้านบาท เริ่มจำหน่าย 25 ส.ค.63 ประกอบด้วย
1.รุ่นวอลเล็ต สบม. ครั้งที่ 2 วงเงินจำหน่าย 5,000 ล้านบาท รุ่นอายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.70% ต่อปี จำหน่ายผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง
2.รุ่นก้าวไปด้วยกัน (Moving Forward) วงเงินจำหน่าย 45,000 ล้านบาท รุ่นอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.22% ต่อปี จำหน่ายผ่าน 4 ธนาคารตัวแทน
- ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ยืนยันว่ากรณีการปรับเพิ่มวงเงินกู้ของรัฐบาลในกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ (Revenue Shortfall) ในปีงบประมาณ 2563 วงเงิน 214,093 ล้านบาท ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติเนื่องจากคาดว่ารายได้ปีนี้จะจัดเก็บได้ต่ำกว่า 9% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้นั้น ไม่ได้ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะมีปัญหา โดยล่าสุดอยู่ที่ 45.83% ของจีดีพี และคาดว่าสิ้นปีงบประมาณ 2563 จะอยู่ที่ 51-52% ของจีดีพี และสิ้นปีงบประมาณ 2564 อยู่ที่ 57-58% ของจีดีพี โดย สบน.จะประเดิมกู้ส่วนแรก 50,000 ล้านบาท โดยการออกเป็นพันธบัตรออมทรัพย์ขายให้ประชาชนทั่วไปในเดือนก.ย.
- ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค.63 อยู่ที่ระดับ 82.5 เพิ่มขึ้นจากระดับ 80.0 ในเดือนมิ.ย.63 โดยค่าดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ทั้งนี้ การฟื้นตัวของภาคการผลิตมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยมีปัจจัยบวกจากการที่รัฐบาลมีการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้กิจการต่างๆกลับมาดำเนินการได้มากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้สินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า
- สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเดือนก.ค.63 อยู่ที่ 49,564 คัน ลดลง 39.67% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่งออกลดลงทุกตลาด เนื่องจากยอดขายรถยนต์ในประเทศคู่ค้าลดลงจากการระบาดของโควิด-19 เช่น ยุโรป, สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น และบราซิล เป็นต้น อย่างไรก็ดี อัตราการลดลงของเดือนก.ค.63 น้อยกว่าเดือนมิ.ย.63 ตามการค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในหลายประเทศ