ทองลง – หุ้นขึ้นทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากความหวังเกี่ยวกับการรักษาไวรัสโคโรนา
· ราคาทองคำตลาดโลกปิด -0.5% ที่ 1,929.12 เหรียญ หลังเมื่อวานรีบาวน์กลับได้กว่า 1% ทำสูงสุดที่ 1,961.4 เหรียญ ขณะที่สัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิด -0.4% ที่ระดับ 1,939.2 เหรียญ
· ราคาทองคำปรับตัวลดลงจากการที่องค์กรอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) อนุมัติเป็นการฉุกเฉินในการใช้พลาสมาของผู้ที่หายป่วยจากอาการ COVID-19 ในการรักษาอาการของผู้ติดเชื้อต่อ และข่าวคืบหน้าการรักษา COVID-19 ก็ดูจะทำให้หุ้นสหรัฐฯทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นำโดยดัชนี S&P500 และ Nasdaq ขณะที่ทีมบริหารของนายทรัมป์กำลังพิจารณาในการอาจใช้ Fast-Track สำหรับตัวแทนผู้ทดลองวัคซีน
· หัวหน้านักกลยุทธ์ฝ่ายการตลาดจาก Blue Line Futures กล่าวว่า ราคาทองคำมีการสะสมพลังในเวลานี้ ท่ามกลางดัชนีหุ้นสหรัฐฯที่ปรับขึ้นทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และในเวลานี้ทองคำจำเป็นต้องมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ
· การเจรจาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันเกี่ยวกับร่างงบช่วยเหลือวิกฤต COVID-19 ก็ยังคงไม่มีความคืบหน้า
· นักวิเคราะห์จาก Standard Chartered กล่าวว่า ความคืบหน้าของวัคซีน COVID-19 และข้อมูลเศรษฐกิจที่สะท้อนถึงการฟื้นตัว ได้สร้างความผันผวนให้แก่ตลาดทองคำ แต่ระดับอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในแดนลบหรือระดับค่อนข้างต่ำ ประกอบกับการอ่อนค่าของดอลลาร์ และคาดการณ์ที่จะเห็นการกระตุ้นทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมก็ยังเป็นปัจจัยที่หนุนราคาทองคำขาขึ้นอยู่
· บรรดาธนาคารกลางทั่วโลกมีการใช้มาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจขนานใหญ่เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการระบาดของวัสโคโรนา แต่การดำเนินการดังก่าวก็ดูจะยิ่งเพิ่มโอกาสการปรับขึ้นของเงินเฟ้อด้วยเช่นกัน
· กลุ่มนักลงทุนยังคงเฝ้ารอถ้อยแถลงของนายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟดที่มีกำหนดการจะกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมธนาคารกลางประจำปีที่เมืองแจ็กสัน โฮล, รัฐไวโอมิง ในวันพฤหัสบดีนี้ที่อาจส่งสัญญาณในการจะจัดการกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจระยะยาวจากปัญหาไวรัสโคโรนาอย่างไร
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า นายโพเวลล์ อาจมีการกถล่าวถ้อยแถลงในเชิงให้คำมั่นที่จะคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินไว้จนกว่าเงินเฟ้อและการจ้างงานจะมีเสถียรภาพทั้งคู่
· กองทุนทองคำ SPDR ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม ปัจจุบันยังถือครองที่ 1,252.38 เหรียญ
· ราคาซิลเวอร์ปิด -0.9% ที่ 26.43 เหรียญ ด้านแพลทินัมปรับลง -0.5% ที่ 914.22 เหรียญ ขณะที่พลาเดียมปิด -1.2% ที่ 2,155.9 เหรียญ
· สหรัฐฯอนุมัติฉุกเฉินในการใช้เลือดพลาสมารักษาผู้ป่วย COVID-19
องค์กรอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) มีการอนุมัติเป็นกรณีฉุกเฉินในการใช้เลือดพลาสมาเพื่อรักษาผู้ป่วย COVID-19 ซึ่งการใช้เทคนิคดังกล่าว คือการนำเลือดที่เต็มไปด้วยแอนตี้บอดี้-ริช จากผู้ที่หายจากอากาการป่วยด้วยไวรัสโคโรนา นำมาใช้รักษาอาการหรือทดลองกับผู้ป่วยหนักจำนวน 70,000 รายในสหรัฐฯ
ทั้งนี้ FDA ชี้ว่า ในการทดลองเบื้องต้น พบว่า ผู้เข้ารับการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวพบว่าได้ผลดี และไม่มีผลข้างเคียง แต่ย้ำว่าการอนุมัติของเอฟดีไอไม่ได้หมายความว่าการใช้พลาสมา "คือมาตรฐานใหม่" ของการรักษาผู้ป่วย COVID-19
อย่างไรก็ดี ยังมีผู้เชี่ยวชาญอีกหลายรายที่ยังคงตั้งข้อสังเกตต่อความแข็งแกร่งของวิธีการศึกษาการใช้วิธีการดังกล่าว
· WHO เผย 172 ประเทศ มีส่วนร่วมในการผลิตวัคซีนทั่วโลก
นายเทดรอส ผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก (WHO) กล่าวว่า ขณะนี้มี 172 ประเทศที่เข้าร่วมกับองค์การอนามัยโลกด้วยการนำแผน COVAX ในการประสานงานเพื่อพัฒนาวัคซีน COVID-19 ที่มีความปลอดภัยและได้ผล
ในขณะนี้มีวัคซีน 9 ชนิด ที่มาจาก COVAX และวัคซีนทั้ง 9 ชนิดอยู่ระหว่างการพัฒนาเพิ่มเติมเพี่อให้ได้วัคซีนที่ดีที่สุด
ทั้งนี้ COVAX มีการวางแผนที่จะใช้เงินลงทุนเพื่อทำให้หยุดการแพร่ระบาดของเชื้อโดยเร็วที่สุด
· ในการประชุมของรีพับลิกัน ทรัมป์เตือนถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
เมื่อวานนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีการกล่าวถึงการเลือกตั้งผ่านไปรษณีย์อีกครั้งว่า การเลือกตั้งด้วยวิธีนี้อาจสามารถนำไปสู่การฉ้อโกงผลการเลือกตั้งได้ แม้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยกล่าวว่ามีความเป็นไปได้ยากในการโกงผลการเลือกตั้งผ่านไปรษณีย์
อย่างไรก็ดี ถ้อยแถลงดังกล่าวของนายทรัมป์ ถือเป็นวันแรกของการประชุมแห่งชาติของพรรครีพับลิกัน หลังจากที่เขาได้รับคะแนนเสียงมากพอที่จะชนะ นายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีที่ได้รับการเสนอชื่ออย่างเป็นทางการจากพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งวันที่ 3 พ.ย. นี้
หลังจากที่กล่าวซ้ำเกี่ยวกับการเลือกตั้ง นายทรัมป์ได้พูดเกี่ยวกับการติดเชื้อ COVID-19 หรือการยกเลิกมาตรการ Lockdown รวมทั้งมาตรการอื่นๆ จะได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อพยายามสร้างอิทธิพลต่อการลงคะแนนในเดือน พ.ย.
· ทรัมป์เผยจะอัดฉีดเงิน 1 พันล้านเหรียญสำหรับโครงการอาหารสำหรับครอบครัวชาวอเมริกา ที่ประสบกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตไวรัสโคโรนา
โดยโครงการ The Farmers to Famillies Food Box เป็นหนึ่งในหลายๆโครงการของรัฐบาลสหรัฐฯในการช่วยเหลือชาวอเมริกา ด้วยการเข้าซื้ออาหารจากเกษตรกรในการเป็นวัตถุดิบสำหับร้านอาหารแต่กลุ่มธุรกิจดังกล่าวได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตไวรัสโคโรนา โดยเฉพาะการ Shutdown รวมทั้งการจัดส่งอาหารให้แก่ประชาชนนับล้านคนที่ตกงาน และได้รับผลกระทบจากวิกฤตไวรัสโคโรนา
· USTR เผย การตกลงกรณีเฟส1 ทางโทรศัพท์ของ สหรัฐฯ-จีน เป็นไปได้ด้วยดี
สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯและจีนได้พูดคุยกันผ่านโทรศัพท์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทำให้ได้เห็นความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาการค้าของเฟส1 ที่ทั้งคู่มีการลงนามร่วมกันในเดือน ม.ค. และทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งมั่นในการประสบความสำเร็จในข้อตกลงนี้
· นักบริหารเงินประเมินกรอบเงินบาทวันนี้ไว้ระหว่าง 31.40-31.65 บาท/ดอลลาร์
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- กระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือน ก.ค.63 โดยการส่งออกไทยมีมูลค่า 18,819.5 ล้านเหรียญ ปรับตัวลดลง -11.4% จากตลาดคาดว่าจะหดตัว -15 ถึง -19.5% แม้ว่ายังหดตัวต่อเนื่อง แต่ในภาค Real Sector เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และ อาวุธ การส่งออกในเดือน ก.ค.หดตัวที่ 13.0% แต่ยังหดตัว น้อยลงเมื่อเทียบกับการหดตัว 23.2% ในเดือน มิ.ย. ส่วนทั้งปียังคาดการณ์ว่าการส่งออกจะติดลบในช่วง -8 ถึง -9%
- อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ในการจัดเก็บรายได้ของกรมฯปีนี้จะต้องหารือกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อีกครั้ง โดยวัดจากการจัดเก็บรายได้เดือน ส.ค. เป็นตัวชี้ขาดว่าการเก็บรายได้ทั้งปีงบประมาณ 63 จะเป็นเท่าใด เนื่องจากที่ผ่านมาการทำประมาณการรายได้อยู่บนพื้นฐานเศรษฐกิจไทยขยายตัว 5% แต่ขณะนี้คาดว่าเศรษฐกิจจะหดตัว -8% ดังนั้น เป้าหมายรายได้ที่ตั้งไว้ 2.11 ล้านล้านบาท คงไม่สามารถทำได้ในภาคปฏิบัติ แต่ก็คงไม่นำเรื่องเป้าหมายดังกล่าวมาเป็นตัวตั้ง เพราะขณะนี้อยู่ในช่วงสถานการณ์ไวรัสโคโรนาที่ประชาชนและผู้ประกอบการได้รับความเดือดร้อน
- ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี (TMB Analytics) ประเมินทิศทางการส่งออกสินค้าในครึ่งปีหลัง 63 จะฟื้นตัวจากกลุ่มสินค้าอาหาร อาหารสัตว์ ผักผลไม้ ยารักษาโรคและเครื่องมือแพทย์ เครื่องดื่ม พลังงาน เคมีภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน สินค้าอุปโภค เครื่องจักรกล สินค้าเกษตร ซึ่งมีสัดส่วน 3 ใน 4 ของมูลค่าส่งออกรวม
· อ้างอิงจากสำนักข่าวมุสลิมไทยโพสต์
- กองทัพเรือ แถลงข่าว ปมซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ 22,500 ล้านบาท โดยการจัดหาเรือดำน้ำของไทยมีครั้งแรกในปีงบประมาณ 2560 และจะเข้าประจำการในปี 2566 โดยกองทัพเรือได้เผยจำนวนเรือดำน้ำของประเทศเพื่อนบ้านให้ที่ประชุมอนุฯ รับทราบ และมองว่ากำลังทางเรือจำเป็นต่อการเจรจาพื้นที่อ้างสิทธิ์ ปัจจุบันสหรัฐฯ นำกำลังทางเรือเข้าสู่ทะเลจีนใต้มากขึ้น หากเกิดการปะทะ กองทัพเรือจะต้องทำหน้าที่ดูแลเส้นทางคมนาคมขนาดใหญ่ของไทย มูลค่า 24 ล้านล้านบาท
พร้อมกันนั้นยังมีการย้ำว่า เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ของชาติ 24 ล้านล้านบาท กองทัพเรือจัดซื้อเรือดำน้ำ 22,500 บาท เท่ากับแค่ 0.093 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
· อ้างอิงจากสำนักข่าว Business Today
ผลสำรวจซีอีโอบริษัทจดทะเบียน มองเศรษฐกิจไทยจะแย่ลงในช่วงที่เหลือของปี
- ผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน (CEO) พบว่า CEO ปรับเปลี่ยนมุมมองอย่างชัดเจน โดยจากผลสำรวจล่าสุด CEO คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2563 จะหดตัว 5-10% จากคาดการณ์เมื่อต้นปีที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 2-3% และ CEO ส่วนใหญ่คาดว่า 9 เดือนหลังของปี 63 เศรษฐกิจจะแย่ลง
- CEO คาดว่า ปัจจัยบวกที่สำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในช่วง 9 เดือนหลังของปี 63 คือ นโยบายการคลังและการใช้จ่ายภาครัฐ ราคาน้ำมัน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและจีน ขณะที่ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา การท่องเที่ยวที่หดตัวและกำลังซื้อที่ลดลงจะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจไทย
- แนวโน้มอุตสาหกรรมและผลประกอบการคาดว่าจะแย่ลง โดย 65% ของ CEO ที่ตอบแบบสอบถามคาดว่าผลประกอบการปี 63 จะหดตัว
- การลงทุนในช่วง 9 เดือนหลังมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับการสำรวจครั้งก่อน โดยวางแผนชะลอการลงทุนในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)ส่งผลให้ 55% ของ CEO ที่ตอบแบบสอบถามวางแผนขยายการลงทุนในประเทศเพื่อบริหารจัดการ Supply Chain ให้มีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
- CEO มีความวิตกกังวลสูงสุด 3 อันดับแรก เกี่ยวกับกำลังซื้อภายในประเทศ เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า นโยบายการคลัง และการใช้จ่ายภาครัฐ อีกทั้งยังกังวลถึงการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงการเปิด-ปิดสถานที่การท่องเที่ยว