· ดอลลาร์ร่วงโดย ส.ค. แย่ที่สุดรอบ 5 ปี, ทิศทาง Abenomics ทำเยนทรงตัว
ดอลลาร์อ่อนค่าต่อเนื่องเดือนที่ 4 จากกลุ่มนักลงทุนที่มีกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับเรื่องการคงดอกเบี้ยเป็นเวลานานของเฟด ขณะที่เยนทรงตัวจากนักลงทุนมีมุมมองว่า ผู้นำคนใหม่ของญี่ปุ่นจะยังคงนโยบายการฟื้นคืนเศรษฐกิจในฉบับอาเบะโนมิคส์ต่อไป
นายโยชิฮฺเดะ ซูกะ หัวหน้าคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น หนึ่งในผู้ดำรงตำแหน่งภายในพรรคของนายอาเบะเป็นเวลานาน และอยู่ในตำแหน่งที่ดี ที่สื่อญี่ปุ่นคาดว่าเขาน่าจะได้รับการสนับสนุนจากพรรครัฐบาลของเขา
ค่าเงินเยนอ่อนค่ามา 0.3% ที่ 105.62 เยน/ดอลลาร์ หลังจากที่แข็งค่าไปมากสุดเมื่อวันศุกร์ที่มีข่าวการลาออกของนายอาเบะ ที่อยู่ที่ระดับ 104.19 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเป็นไปอย่างเบาบาง ขณะท่ี่ภาคบริการของจีนเริ่มที่จะอ่อนตัว
ค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์แตะระดับแข็งค่ามากสุดรอบ 21 เดือนที่ 0.7381 ดอลลาร์ออสเตรเลีย และยังคงทำระดับแข็งค่ารายเดือนต่อเนื่อง 5 เดือน ซึ่งเป็นเดือนที่ดีที่สุดในรอบกว่า 10 ปี และมีการแข็งค่าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดือนมี.ค.มาแล้ว 34%
ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นทำสูงสุดรอบ 14 เดือนที่ 6.844 หยวน/ดอลลาร์ ท่ามกลางนักลงทุนที่ตอบรับกับภาคบริการที่ถึงแม้จะชะลอตัวบ้างแต่ข้อมูลภาคการผลิตมีการรีบาวน์
ค่าเงินยูโรทรงตัวที่ 1.1903 ดอลลาร์/ยูโร ด้านปอนด์ทรงตัวที่ 1.3342 ดอลลาร์/ปอนด์
นักลงทุนให้ความสนใจกับถ้อยแถลงของสมาชิกเฟดในสัปดาห์นี้ โดยวันนี้จะเริ่มต้นโดยนายริชาร์ด แคลริด้าในช่วงเวลาประมาณ 20.00น. ตามเวลาไทย ที่เขาอาจมีการกล่าวถึงเรื่องกรอบการดำเนินนโยบายใหม่ได้
ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่ามาเล็กน้อยในตลาดเอเชีย 92.310 จุด แต่ในเดือนส.ค.นี้อ่อนค่าลงไปแล้ว 1.2% และถือเป็นเดือนส.ค.ที่แย่ที่สุดในรอบ 5 ปี และม่ีการปรับตัวลงรายเดือนที่แย่และยาวนานสุดตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนของปี 2017
· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 30 ปีพุ่งจากคาดการณ์เฟดจะซื้อสินทรัพย์เพิ่ม
รายงานจากรอยเตอร์ส กล่าวว่า บรรดานักลงทุนมีคาดการณ์เพิ่มขึ้นว่าเฟดจะทำการขยายการเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาว หลังจากที่เฟดได้เผยถึงการที่จะอนุญาตให้เงินเฟ้อสูงกว่าระดับเป้าหมาย
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปี ปรับขึ้นทำสูงสุดรอบ 2 เดือนเมื่อคืนวันศุกร์อีก จากวันพฤหัสบดีที่ปรับขึ้น 9.4 จุด และวันศุกร์เพิ่มอีก 7.7% มาที่ 1.577% ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดตั้งแต่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนระยะยาวเกิดขึ้น ท่ามกลางปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้จากการปล่อยเงินกู้ของเฟดให้แก่ภาคบริษัทและนิติบุคคล รวมทั้งปัญหาทางเศรษฐกิจที่มีอยู่
นักลงทุนบางส่วน กล่าวว่า เฟดอาจจำเป็นต้องมีการเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวเพิ่มในช่วงการประชุมกลางเดือนก.ย.นี้ หากไม่ก็อาจเร็วกว่านั้น และคาดเฟดอาจมีการแจ้งนโยบายดังกล่าวนี้ในช่วงก่อนสิ้นปี
ภาพรวมเฟดมีการเข้าซื้อพันธบัตรแล้ว 2 ล้านล้านเหรียญ นับตั้งแต่ที่เกิดวิกฤตไวรัสโคโรนา และทำให้ปัจจุบันเฟดมีการเข้าซื้อพันธบัตรแล้ว 4.36 ล้านล้านเหรียญ และมีการคงดอกเบี้ยระดับต่ำคู่กับการเสริมสภาพคล่องให้แก่ตลาด
นักลงทุนบางรายก็เชื่อว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีโอกาสจะปรับตัวขึ้นอีกหากเฟดมีการขยายการเข้าซื้อสินทรัพย์เพิ่ม
· เดโมแครคค้าน "ทรัมป์" เยือนรัฐวิสคอน, ด้านทรัมป์ยัน "ความเด็ดขาด" คือทางเดียว!
พรรคเดโมแครตกล่าวว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ควรไปเยือนรัฐวิสคอน ที่ซึ่งมีการประท้วง โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วชายผิวสี นายจาค็อบ แบล็ค ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวยิงจากด้านหลังเมื่อวันที่ 22 ส.ค. ในขณะที่นายทรัมป์ กล่าวว่าความเด็ดขาด เป็นทางเดียวสำหรับการจัดการกับความไม่สงบสุข จึงยิ่งทวีความรุนแรงของการประท้วงในกรณีการต่อต้านความโหดร้ายของตำรวจและการเหยียดเชื้อชาติ ก่อนการเลือกตั้งใหม่ในเดือนพ.ย.ของนายทรัมป์
ขณะที่นายทรัมป์ ยังยืนยันที่จะเยือนเมือง มิดเวสเทิร์น ในวันพรุ่งนี้ ทำให้พรรคเดโมแครตเกิดความกังวลว่าเหตุการณ์ประท้วงนี้อาจทวีความรุนแรงขึ้น
· ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯพุ่งแตะ 6 ล้านรายในมิดเวสท์, สถานศึกษามีแนวโน้มเผชิญการระบาด
หลังมีรายงานยอดติเชื้อในหลายๆพื้นที่ของรัฐดังกล่าวมีจำนวนเพิ่มขึ้น ขณะที่พบนักศึกษาบางรายของมหาวิทยาลัยในรัฐไอโอวามีผู้ติดเชื้อ จึงมีโอกาสเปลี่ยนระบบการศึกษาเป็นแบบออนไลน์แทน
· "วอร์เรน บัฟเฟตต์" ซื้อหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น 5 แห่ง แห่งละ 5%
บริษัท Berkshire Hathaway Inc ของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ กล่าวถึงการเข้าซื้อหุ้นบริษัทยักษ์ขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น 5 แห่ง แห่งละ 5% โดยเป็นการมองหาแนวทางการลงทุนนอกพื้นที่สหรัฐฯ โดยเขามีการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท
1. Itochu
2. Marubeni
3. Mitsubishi
4. Mitsui & Co Ltd
5. Sumitomo
ทั้งนี้ บริษัท Berkshire กล่าวถึงความตั้งใจที่จะลงทุนในระยะยาว และอาจมีการถือหุ้นเพิ่มเติมถึง 9.9% ขณะที่การเข้าลงทุนในบริษัท 5 แห่งล่าสุดนั้น คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 6.55 แสนล้านเยน (6.21 พันล้านเหรียญ)
· ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของจีน ชะลอตัวในเดือน ส.ค.
ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของจีนมีการชะลอตัวในเดือนส.ค. โดยความคาดหวังของนักวิเคราะห์ที่ล้มเหลว เนื่องจากเหตุการณ์น้ำท่วมและสถานการณ์ไวรัสโคโรนา เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจของประเทศจีน
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือ PMI เผยว่ามีการลดลงอยู่ที่ 51 จุด ในเดือนส.ค. จาก51.1 จุด ในเดือนก.ค. แต่ยังคงอยู่เหนือกว่า 50 จุด ในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของจีนกำลังกลับสู่ระดับ ก่อนที่จะมีการระบาดใหญ่จนทำให้เศรษฐกิจชะงัก เนื่องจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากการขยายโครงสร้างพื้นฐานโดยขับเคลื่อนด้วยแรงกระตุ้น และ การขยายตัวของการส่งออกที่มีการยืดหยุ่นและฟื้นตัวได้อย่างดี แต่การฟื้นตัวเศรษฐกิจของจีนก็ยังคงไม่มั่นคง
· ข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนในเดือนส.ค. อยู่ที่ระดับ 51.0 ลดลงจากระดับ 51.1 ในเดือนก.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 51.2
อย่างไรก็ดี ดัชนี PMI ที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนมีการขยายตัว ขณะที่ดัชนีต่ำกว่าระดับ 50 จะบ่งชี้ถึงภาวะหดตัว
· แบงก์ใหญ่ของจีนมีแนวโน้มจะขาดทุนนับพันล้านเหรียญจากหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นในช่วงวิกฤตการระบาดของไวรัสโคโรนา
รายงานผลประกอบการของ 5 ธนาคารยักษ์ใหญ่ของจีน พบผลกำไรปรับตัวลดลงไม่น้อยกว่าในรอบ 10 ปี จากหนี้เสียที่เพิ่มมากขึ้นจากสภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอเพราะการระบาดของไวรัสโคโรนา โดยภาคธนาคารยักษ์ใหญ่ 5 แห่งดังกล่าว ได้แก่
1. Industrial and Commercial Bank of China (ICBC)
2. Chinca Construnction Bank
3. Agricultural Bank of China
4. Bank of China
5. Bank of Communications
ทั้ง 5 ธนาคารยักษ์ใหญ่ มีผลประกอบการเมื่อเทียบรายปีลดลงไม่น้อยกว่า 10% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2020 ท่ามกลางหนี้เสียที่ดูจะเพิ่มมากขึ้นในอีกไม่กี่เดือนนี้ อันรวมถึงหลายๆธนาคารทั่วโลกที่เผชิญปัญหาเดียวกัน
Morgan Stanley วิเคราะห์ว่า ผลกำไรจากการดำเนินงานล่วงหน้าของธนาคารขนาดกลางในจีนคาดจะเติบโตได้ระหว่าง 8-27% ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวได้ดีกว่าธนาคารรายใหญ่ๆที่มีกรอบการปรับตัวลงมาที่ 2-6%
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์จาก Jeffries ระบุว่า ธนาคารต่างๆในจีนมี "แนวโน้มสูง" ที่จะปรับลดสัดส่วนของตัวเองลงในปีนี้เพื่อกำหนดการเตรียมการเพิ่มขึ้นครั้งใหม่ แต่ผลประกอบการก็มีแนวโน้มจะฟื้นตัวได้หลังจากที่ทำต่ำสุดในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยคาดอาจเห็นผลประกอบการกลับมาเติบโตได้อีกในปี 2021
· อาเบะออกจากตำแหน่งนายกฯญี่ปุ่นท่ามกลางเศรษฐกิจที่แย่จาก COVID-19 และ เป้าหมายของเขาที่ยังไม่บรรลุผล
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นกล่าวว่าเขาลาออกเนื่องจากปัญหาสุขภาพ เป็นการสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งเขาพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เผชิญกับภาวะเงินฝืดและผลักดันให้มีกองทัพที่แข็งแกร่งขึ้น
การลาออกอย่างกะทันหันของเขาทำให้เกิดการแข่งขันกันในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าระหว่างผู้นำในพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ Liberal Democratic Party (LDP) และผู้ชนะมีแนวโน้มที่จะยึดมั่นในนโยบาย“ Abenomics” ของ นายอาเบะ ต่อไป ซึ่งมีผลลัพธ์ที่หลากหลายในกาารช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ
แม้จะมีความกังวลในเรื่องสุขภาพของเขา แต่การลาออกของนายอาเบะ สร้างผลกระทบเป็นอย่างมากต่อตลาดเงินและตลาดหุ้นหลักของญี่ปุ่น ซึ่งลดลง -2% ก่อนการฟื้นฟู ในขณะที่เงินเยนอยู่ในความกังวลว่าจะเกิดการฝืดเคือง
สำนักข่าว Jiji ของญี่ปุ่น เผย พรรค LDP จะทำการโหวตเลือกผู้นำพรรคคนใหม่ในวันที่ 14 ก.ย.นี้ เพื่อสานต่อความสำเร็จจากนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นที่เพิ่งประกาศลาออก
· "คิชิดะ" หนึ่งในตัวเลือกตำแหน่งนายกฯญี่ปุ่น กับแนวคิดการปรับลดภาษียอดขาย
นายฟูมิโอ คิชิดะ เจ้าหน้าที่พรรคอาวุโสของรัฐบาลญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนต่อไป โดยเขามีท่าทีระมัดระวังต่อแนวคิดการปรับลดภาษีการขายเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ซึ่งเขามองว่าภาษียอดขายดูจะเป็นภาระสวัสดิการทางสังคม และการปับลดภาษีดังกล่าวก็อาจส่งผลต่อภาคธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางให้มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น อาทิ การปรับระบบแคชเชียร์เพื่อให้เหมาะสมกับอัตราภาษีใหม่
· ผู้นำญี่ปุ่นคนต่อไปจะเผชิญกับความยากลำบากของปีนี้ หลัง "อาเบะ" ออกจากตำแหน่ง
นักวิเคราะห์จาก Teneo Intelligence ชี้ ไม่ว่าใครจะมาดำรงตำแหน่งต่อจากนายอาเบะก็จะประสบกับความยากลำบากในปีนี้ โดยเขาคาดว่าผู้นำคนต่อไปอาจต้องเผชิญกับแรงกดดันจากประเด็นต่างๆ หลังจากที่นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นประกาศลาออกจากตำแหน่งหลังจากที่ดำรงตำแหน่งมาเป็นเวลานาน
ซึ่งอาจมีการเปิดกว้างต่อการหารือเรื่องความมั่นคงของประเทศ คู่กับโครงการความมั่นคง ตลอดจนการเจรจากับสหรัฐฯ และการเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการ
นักวิเคราะห์หลายคนมีมุมมองว่า นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนต่อไปจะต้องเตรียมพร้อมกับข้อตกลงจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่นายทรัมป์ ได้รับเลือกอีกหนึ่งสมัย หรือการเปลี่ยนผ่านทีมบริหารชุดใหม่ของสหรัฐฯ ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งอยู่
ทั้งนี้ พรรค LDP มีแนวโน้มจะทำการคัดเลือกผู้นำคนใหม่ในเร็ววันเพื่อรับรองต่อเสถียรภาพและความต่อเนื่องในการบริหารจัดการประเทศ ท่ามกลางผลกระทบเชิงลบที่ได้รับจากวิกฤตไวรัสโคโรนา
· ผู้นำพรรคร่วมรัฐบาลญี่ปุ่นจะร่วมการลงคะแนนเลือกนายกฯคนใหม่ 14 ก.ย. นี้ โดย มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้สมัคร 4 คน
สื่อท้องถิ่นรายงานว่า พรรคเสรีประชาธิปไตยของญี่ปุ่นมีแผนจะลงคะแนนเสียงเลือกผู้นำในวันที่ 14 ก.ย. เพื่อแทนที่นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันซึ่งกำลังจะลงจากตำแหน่งเนื่องจากสุขภาพไม่ดี
หัวหน้าพรรคคนใหม่ที่จะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของญี่ปุ่น โดยจะได้รับเสียงข้างมากของสมาชิกในรัฐสภาโดยมีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ท้าชิง 4 คนสำหรับตำแหน่งนี้
นายอาเบะ นายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดกล่าวว่า กล่าวกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ประธานาธิบดีของสหรัฐฯกล่าวว่าการเสริมสร้างพันธมิตรของทั้งสองประเทศจะยังคงอยู่แม้เขาจะออกจากตำแหน่ง
แต่ผู้สืบทอดตำแหน่งของนายอาเบะ จะต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจ การทูตและความมั่นคงที่น่ากลัว เนื่องจากเศรษฐกิจที่ซบเซาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ไปจนถึงสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่าง จีน - สหรัฐฯ
· ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของญี่ปุ่นปรับขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ในขณะที่การค้าปลีกตกต่ำลงอีกครั้ง
ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของญี่ปุ่นปรับขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ใน เดือน ก.ค. เป็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างช้าๆ จากไวรัสโคโรนา
แต่การค้าปลีกปรับตัวต่ำลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน ในอัตราที่ค่อนข้างเร็วกว่า สัญญาณที่น่ากังวลสำหรับการบริโภคภาคเอกชนมีมากกว่าครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
ข้อมูลในวันนี้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจ ที่หดตัวถึง -27.8% ซึ่งถือเป็นประวัติการณ์ ในไตรมาสที่ 2 เนื่องจากการแพร่ระบาดอย่างหนักของไวรัสโคโรนา จึงกระทบทั้งอุปสงค์ด้านการนำเข้าและส่งออก
กระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรม (METI) แสดงข้อมูลให้เห็นว่า ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของญี่ปุ่นปรับตัวขึ้น 8.0% ในเดือนก.ค. เทียบจากเดือนล่าสุด ตามประมาณการของนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดว่าจะ เพิ่มขึ้น 5.8% และเพิ่มขึ้น 1.9% ในเดือนมิ.ย.
โดยติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 หลังจากที่เคยแตะระดับต่ำสุดในเดือนพ.ค.นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก แต่ภาคอุตสาหกรรมยังห่างไกลจากระดับก่อนการระบาดของไวรัสโคโรนา
จากการสำรวจผู้ผลิตโดย METI พวกเขาคาดว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้น 4.0% ในเดือนส.ค.และจะโตขึ้นอีก 1.9% ในเดือนก.ย.
METI ระบุว่ามีการประเมินว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของผลผลิต
อย่างไรก็ตามมีการเน้นย้ำถึงความต้องการของผู้บริโภคที่อ่อนแอ และยอดค้าปลีกที่ลดลง -2.8% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนก.ค.ซึ่งแย่กว่าที่คาด 1.7% จากแบบสอบถามของ Reuters และหลังจากการลดลง -1.2% ในเดือนมิถุนายน
· รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจบราซิล เผย ประธานาธิบดีบราซิลให้คำมั่นจะใช้มาตรการรัดเข็มขัด
รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ เผยว่า นายชาอีร์ โบลโซนาโร ประธานาธิบดีบราซิลให้คำมั่นที่จะใช้มาตรการรัดเข็มขัด พร้อมให้การสนับสนุนทางการเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน แม้จะยังไม่มีมุมมองจากทางฝ่ายรัฐบาลแต่การหารือระหว่างรัฐมนตรีและรัฐบาลก็ยังดำเนินไปตามปกติ
· อัตราการติดเชื้อไวรัสโคโรนาในอินเดียรายวันพุ่งขึ้นมากที่สุดของโลก
อินเดียมียอดผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 78,761 ราย ซึ่งเป็นระดับการเพิ่มขึ้นในช่วง 1 วันที่มากที่สุดของโลก นับตั้งแต่ที่เกิดการเริ่มต้นระบาด ท่ามกลางรัฐบาลที่เริ่มคลายมาตรการคุมเข้มเพื่อช่วยหนุนเศรษฐกิจ
ขณะที่ภาพรวมภายในประเทศอินเดียมียอดติดเชื้อสูงกว่า 3.5 ล้านราย และรัฐบาลมีการประกาศที่จะกลับมาเปิดทำการรถไฟใต้ดินในเมืองนิวเดลีย์ ที่เป็นเมืองหลวง แต่อาจมีการจำกัดกิจกรรมทางกีฬาและศาสนาในเดือนก.ย.
อินเดียมีประชากร 1.4 พันล้านราย และในเวลานี้มีอัตราการติดเชื้อรายวันที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดของโลก ด้วยยอดรายวันที่สูงกว่า 75,000 ราย และหนึ่งในเหตุผลที่เราเห็นยอดเพิ่มขึ้นมาจากการที่มีการทดสอบหาเชื้อทุกๆวันในกลุ่มประชากรกว่า 1 ล้านราย เมื่อเทียบกับจำนวน 200,000 ราย ในช่วง 2เดือนก่อน ขณะเดียวกันระบบการจัดการ Covid-19 ในอินเดียก็ดี ด้วยอัตราการรักษาผู้ติดเชื้อที่อยู่ที่ระดับเกือบ 76.5%
· น้ำมันดิบ Brent ทำระดับสูงสุดรอบ 5 เดือน จากการลดอุปทานของอาบูดาบีและข้อมูลของจีน
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น โดยน้ำมันดิบ Brent แตะระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน โดย
ได้รับปัจจัยหนุนจากการลดอุปทานน้ำมันดิบอาบูดาบีลง 30% และข้อมูลของจีนที่ออกมาดีขึ้น
บริษัทน้ำมันแห่งชาติอาบูดาบีจะลดอุปทานในเดือนตุ.ค.ลง 30% เพิ่มขึ้นจากการลดลง 5% ในเดือนก.ย.ตามคำสั่งของรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อให้เป็นไปตามคำมั่นสัญญาในข้อตกลงโอเปกพลัส
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น ที่ระดับ 46.38 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.7% ที่ระดับ 43.25 เหรียญ/บาร์เรล*น้ำมันดิบ Brent ทำระดับสูงสุดรอบ 5 เดือน จากการลดอุปทานของอาบูดาบีและข้อมูลของจีน