· แรงเทขายหุ้นเทคโนโลยีกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่น้ำมันดิบร่วงลงจากความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลง และราคาน้ำมันดิบแตะระดับต่ำสุดแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา หลังจากที่หุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 3 และผู้ผลิตยารายใหญ่ชะลอการทดสอบวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัสโคโรนา
ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกันหลังจาก AstraZeneca กล่าวถึงความเป็นไปได้ในการทดลองวัคซีนจำต้องหยุดพักเป็นการชั่วคราวจากความกังวลด้านความปลอดภัย โดยไม่ได้อธิบายถึงอาการป่วยของหนึ่งในผู้ร่วมทดสอบ ขณะที่การทดสอบในกลุ่มผู้ป่วยจะเป็นโอกาสแต่ก็ต้องมีการตรวจสอบใหม่ด้วยความระมัดระวัง
ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วงลง 1.06%
· หุ้นญี่ปุ่นปรับลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ครึ่ง จากหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯที่ร่วงลง
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลดลง ทำระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ ท่ามกลางความเชื่อมั่นของเหล่านักลงทุนที่อ่อนแอลง หลังเผชิญแรงเทขายในหุ้นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
โดยดัชนี Nikkei ปิดร่วงลง 1.04% ที่ระดับ 23,0.32.54 จุด ด้านดัชนี Topix ลดลง 0.96% ที่ระดับ 1,605.40 จุด โดยทั้งสองดัชนีปรับลงทำต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ มุมมองเชิงบวกที่ว่าบีโอเจะซื้อกองทุนแลกเปลี่ยนเพื่อสนับสนุนตลาด ทำให้ดัชนี S&P 500 e-mini ฟิวเจอร์ส ปรับสูงขึ้นช่วยลดการปรับลงในช่วงก่อนหน้านี้ได้
· หุ้นจีนร่วงลงมากที่สุดในรอบ 6 สัปดาห์ ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯที่รุนแรงมากขึ้น
ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบ 6 สัปดาห์ จากการร่วงลงของหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ รวมทั้งความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับจีน และการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบที่จำกัดความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงของเหล่านักลงทุน
โดยดัชนีกลุ่มบลูชิพ CSI300 ร่วงลง 2.3% ที่ระดับ 4,584.59 จุด และดัชนี Shanghai Composite ร่วงลง 1.9% ที่ระดับ 3,254.63 จุด
· ตลาดหุ้นยุโรปเปิดผสมผสาน หลังหุ้นเทคโนโลยีสร้างแรงเทขายในสหรัฐฯ
ตลาดหุ้นยุโรปเปิดผสมผสานกัน ท่ามกลางนักลงทุนที่ตอบรับกับการปรับลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เข้ามาสร้างแรงกดดันในตลาดการเงินและทั่วโลก โดยดัชนี Stoxx600 เปิดทรงตัวในช่วงต้นตลาด ขณะที่หุ้นกลุ่มการท่องเที่ยว-พักผ่อนปรับลง 1.9% ด้านหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับขึ้น 0.5%
อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
· "แบงก์ชาติ" จี้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ หลังประเมิน "เทรดวอร์-โควิด" ฉุดภาคส่งออกซึมยาว แนะปรับตัว 4ด้าน "เน้นพึ่งพาในประเทศ-รุกเชื่อมโยงเศรษฐกิจภูมิภาค-ร่วมเจรจา CPTPP-ปรับตัวรับเทรดวอร์" ย้ำ "การเงิน-การคลัง" ยังมีกระสุนเหลือกระตุ้นเพิ่ม ด้าน "กรุงศรี" จี้ดูแลภาคธุรกิจ ห่วงตกงานเพิ่มซ้ำเติมจีดีพี ขณะนักวิชาการ ชี้โลกกำลังเข้าสู่สงครามเย็น
· สภาองค์การนายจ้างฯ (อีคอนไทย) คาดปี้นี้แรงงานจะตกงานเฉลี่ยสะสม 2 ล้านคนลดลงจากเดิมเหตุรัฐเริ่มคลอดมาตรการกระตุ้นจ้างงานโดยเฉพาะเด็กจบใหม่ มอง ศก.ไทยยังซึมยาวถึงต้นปีหน้ารัฐควรทำเป็นแพคเกจดูแลเป็นคลัสเตอร์ให้ตรงจุด เผยรูปแบบการจ้างงานเริ่มเปลี่ยนไปภายใต้ New Normal ทั้งอาชีพอิสระ การทำงานไม่เต็มเวลา โดยเฉพาะการทำงานที่บ้าน WFH ยังคงมาแรง ดังนั้น ควรจ่ายค่าจ้างเป็นรายชั่วโมงเป็นอีกทางเลือก
· รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จากผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ดีกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มและในบางกลุ่มธุรกิจในภาคบริการที่ได้อานิสงส์จากการพัฒนาวัคซีนไวรัสโควิด-19ที่อาจจะนำไปสู่การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวได้เร็วขึ้น
· คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ระบุว่า ในช่วงที่เหลือของปี 63 เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง โดยต้องเผชิญกับเศรษฐกิจโลกที่เริ่มเสีย momentum การฟื้นตัว หลังจากที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกสองในหลายประเทศที่เป็นคู่ค้าสำคัญ เช่น กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เป็นตัน
ทำให้แรงขับเคลื่อนของการฟื้นตัวเหลือแค่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน เป็นหลัก จึงต้องติดตามว่าทั้งสองประเทศนี้จะสามารถควบคุมสถานการณ์ไม่ให้มีการระบาดรุนแรงได้มากน้อยแค่ไหน ส่วนการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติยังมีอุปสรรคอยู่มาก
สำหรับทั้งปี 63 กกร. คงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยอาจหดตัวในกรอบ -9.0% ถึง -7.0% ขณะที่คงประมาณการการส่งออกอาจจะหดตัวในกรอบ -12.0% ถึง -10.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าอยู่ในกรอบ -1.5% ถึง -1.0%
อ้างอิงจากสำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ
· หุ้นไทยร่วง 14.56 จุด ปัจจัยนอกกดดันหนัก
วันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเปิดที่ 1,279.24 จุด ลดลง 14.56 จุด หรือ -1.13% มูลค่าการซื้อขาย 200.15 ล้านบาท โบรกฯ คาดเหตุเจอแรงกดดันจากการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ที่อาจดีเลย์ออกไปและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังร่วงแรง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเช้าวันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเปิดที่ 1,279.24 จุด ลดลง 14.56 จุด หรือ -1.13% มูลค่าการซื้อขาย 200.15 ล้านบาท
ส่วนด้านดัชนี SET100 เปิดที่ 1,836.90 จุด ลดลง -24.27 จุด หรือ -1.30%,ดัชนี SET50 เปิดที่ 821.94 จุด ลดลง -10.97 จุด หรือ -1.32% และดัชนี mai เปิดที่ 306.75 จุด ลดลง -2.72 จุด หรือ -0.88%
นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่าคาดว่าสาเหตุตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลดลง เนื่องจากมีแรงกดดันจากปัจจัยในตลาดต่างประเทศ 2 เรื่องหลักๆ ได้แก่ 1.ความวิตกกังวลต่อการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ที่อาจดีเลย์ออกไป หลัง AstraZeneca ได้แจ้งระงับการทดลองวัคซีนโควิด-19 ขั้นสุดท้ายเนื่องจากพบอาการข้างเคียงรุนแรงจากผู้ทดลองฉีดวัคซีน และ2.แรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังร่วงแรงกว่า 7% จากความกังวลเรื่องความต้องการที่อ่อนแอ และทำให้กลุ่มพลังงานคาดว่ายังถ่วงตลาดต่อเนื่องระยะสั้น