• สรุปข่าวราคาทองคำ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 16 กันยายน 2563

    16 กันยายน 2563 | Gold News

ทองคำอ่อนตัวลงจากดอลลาร์แข็งค่า จับตาประชุมเฟด

· ราคาทองคำปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ ท่ามกลางดอลลาร์แข็งค่า แม้ตลาดจะหวังเห็นท่าทีการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไปจากเฟดที่มาช่วยลดการปรับลงของสินทรัพย์ปลอดภัยก็ตาม


· ราคาทองคำตลาดโลกปรับตัวลง 0.1% ที่ระดับ 1,955.21 เหรียญ หลังจากที่ขึ้นไปทำสูงสุดตั้งแต่ 2 ก.ย. บริเวณ 1,971 เหรียญ ขณะที่สัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิด +0.1% ที่ระดับ 1,966.20 เหรียญ โดยปีนี้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้แล้วประมาณ 29%

· กองทุนทองคำ SPDR ขายทองคำออก 0.43 ตัน ปัจจุบันถือครองทองคำที่ระดับ 1,247.57 ตัน


· นักกลยุทธ์การตลาดจาก RJO Futures กล่าวว่า การรีบาวน์ของค่าเงินดอลลาร์ส่งผลให้เกิดแรงเทขายเข้ามาในตลาดทองคำ แต่คาดว่าน่าจะเป็นผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากหากได้รับถ้อยแถลงเชิงผ่อนคลายจากเฟด และแนวทางการปรับเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยก็อาจทำให้ทองคำกลับขึ้นแถว 2,000 เหรียญได้


· กลุ่มนักลงทุนรอคอยผลการประชุมเฟดคืนนี้ในช่วงเวลาประมาณตี 01.00น. (ตามเวลาไทย)


· หัวหน้าเทรดเดอร์จาก U.S. Global Investors กล่าวว่า ราคาทองคำมีทิศทางเชิงบวกมากขึ้นจากกลุ่มนักลงทุนที่คิดว่าเฟดจะเดินหน้าในนโยบายดอกเบี้ยระดับต่ำต่อไปอย่างน้อย 3 ปี และนี่เป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ


· ขณะเดียวกัน ทางเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน มีการเผยถึงการหารือถึงร่างข้อตกลงช่วยเหลือเศรษฐกิจจากไวรัสโคโรนาด้วยวงเงิน 1.5 ล้านล้านเหรียญ ที่อาจทำให้พวกเขาบรรลุข้อตกลงกันได้


· ราคาซิลเวอร์ปิด +0.2% ที่ระดับ 27.20 เหรียญ ขณะที่ราคาพลาเดียมปิด +3.8% ที่ระดับ 2,400.25 เหรียญ หลังไปทำระดับสูงสุดตั้งแต่ 31 มี.ค. บริเวณ 2,419.19 เหรียญ


· ราคาแพลทินัมปิด +1.7% ที่ 970.47 เหรียญ หลังทำสูงสุดตั้งแต่ 11 ส.ค. ที่ 973.98 เหรียญ


· ตลาดจับตาเฟดคาดคงดอกเบี้ยต่อในอนาคต

รายงานจาก CNBC ระบุว่า เฟดถูกคาดว่าจะดำเนินการส่งสัญญาณด้วยท่าทีระมัดระวัง และมีแนวโน้มจะเห็นสมาชิกเฟดทำการอัพเกรดข้อมูลเศรษฐกิจใหม่ หลังจากที่คาดการณ์ครั้งก่อนค่อนข้างเป็นขาลง

- หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Mizuho Securities กล่าวว่า ค่อนข้างแน่ชัดที่อัตราว่างงานมีการปรับตัวลดลง และเฟดขานรับต่อประเด็นดังกล่าว โดยที่เฟดน่าจะมีความเชื่อมั่นมากขึ้น จากการที่อัตราว่างงาน ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 8.4% ต่ำกว่าคาดการณ์ของเฟดที่ 9.3% ขณะที่คาดการณ์ก่อนหน้าเฟดยังคาดว่าจีดีพีจะ -6.3% แต่ภาพรวมครั้งนี้อาจมีการปรับทบทวนดีขึ้น รวมทั้งเงินเฟ้อที่เคยคาดไว้ที่ 1% แต่ภาพรวม Core Inflation นั้นทรงตัวที่ 1.3%

- หัวหน้านักวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจโลกของ Bank of America ไม่คาดว่าเฟดจะทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใดๆ โดยเฟดน่าจะตอบรับดีขึ้นต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจในเวลานี้ และคาดจะเห็นการเติบโตช่วงไตรมาสที่ 3 ดีขึ้นกว่าคาด แต่ทุกฝ่ายก็ยังต้องการเห็นแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางสภาคองเกรสอยู่

- ตลาดกำลังจับตาดูว่าสมาชิกเฟดจะมีแนวทางการดำเนินการอย่างไร หลังจากที่ประธานเฟดเคยให้สัมภาษณที่จะปรับเป้าหมายเฉลี่ยเงินเฟ้อให้สูงกว่าหรือต่ำกว่า 2% ในบางช่วง

- Goldman Sachs คาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจที่เฟดจะเผยในคืนนี้อาจเปลี่ยนแปลงไป โดยเชื่อว่าเฟดน่าจะมีการปรับทบทวนในเชิงบวกต่อการเติบและการว่างงาน หลังข้อมูลเศรษฐกิจในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาออกมาดีขึ้น


· เพโลซีเรียกร้องการเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากวิกฤตไวรัสเพิ่มขึ้น

นางแนนซี เพโลซี โฆษกสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า เธอยังคงคัดค้านความพยายามของพรรครีพับลิกันที่มีการให้งบประมาณที่น้อยกว่าที่ทางพรรคของเธอเสนอ แม้ว่าจะเข้าใกล้ช่วงการเลือกตั้งมากขึ้นก็ตาม


· สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:

ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกทะลุ 29.71 ล้านราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสมทั่วโลกรวมที่ 938,406 ราย สำหรับสหรัฐฯยอดติดเชื้อรวมสูงกว่า 6.78 ล้านราย และมียอดเสียชีวิตสะสมทะลุ 200,000 รายเป็นที่เรียบร้อย สำหรับอินเดียยอดติดเชื้อพุ่งเป็นอันดับสองที่ 5.01 ล้านราย โดยยังมียอดติดเชื้อรายวันสูงกว่า 91,000 ราย และบราซิลยอดติดเชื้อรวม 4.38 ล้านราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสมยังครองอันดับสองของโลกที่ 133,207 ราย


· Bill Gates ไม่คาดว่าวัคซีนจะเกิดขึ้นได้ก่อนสิ้นปีนี้ แต่ Pfizer จะเป็นหนึ่งในผู้ผลิตยาดูจะมีโอกาสดีที่สุด

นายบิล เกทส์ มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งบริษัท Microsoft กล่าวกับสำนักข่าว CNBC ว่าเขาไม่เชื่อว่าสหรัฐฯจะอนุมัติวัคซีนไวรัสโคโรนาได้ก่อนช่วงสิ้นเดือนต.ค.นี้ ซึ่งนี่อาจเป็นข่าวร้ายสำหรับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯที่หวังจะเห็นวัคซีนเกิดขึ้นได้ก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันที่ 3 พ.ย.นี้

ทั้งนี้ เขาคาดว่าวัคซีนน่าจะเกิดขึ้นได้เร็วที่สุดคือช่วงต้นปีหน้า และบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) ก็ดูจะเป็นหนึ่งในบริษัทยาที่สามารถบรรลุผลดังกล่าวได้ในช่วงธ.ค. หรือ ม.ค. ซึ่งมีโอกาสมากถึง 2 ใน 3 ที่จะได้รับการอนุมัติหากวัคซีนนั้นประสบผลสำเร็จ

แต่หากถามถึงกระบวนการทดลองในเฟสที่ 3 ก็ดูเหมือนว่าการทดสอบวัคซีนที่ค่อนข้างเพอร์เฟ็คและอาจได้รับใบอนุญาตเป็นการฉุกเฉินในช่วงสิ้นเดือนต.ค.นี้ และความเป็นไปได้ล่าสุดน่าจะเป็นบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer)


ความกังวลต่อแรงกดดันทางการเมือง

ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อและการระบาด กล่าวว่า สหรัฐฯอาจพร้อมที่จะแจกจ่ายวัคซีนได้เร็วที่สุดในวันที่ 1 พ.ย. ตามรายงานของนายทรัมป์ที่ต้องการให้เกิดวัคซีนให้ได้ก่อนการเลือกตั้ง แต่ช่วงเวลาดังกล่าวนั้นดูจะสร้างความวิตกกังวลให้กับผู้เชี่ยวชาญบางส่วนกังวลถึงความปลอดภัยของวัคซีน ที่อาจถูกมองข้ามไปด้วยเหตุผลทางการเมือง แต่กลุ่มผู้พัฒนาวัคซีนก็อาจจะไม่ยินยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นได้


· โพลสำรวจเลือกตั้งล่าสุดจากรัฐฟลอริดา พบ นายไบเดนมีคะแนนห่างทรัมป์เพียง 3 แต้ม


- ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยฟลอริดา แอตแลนติค และ ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยมอนเมาธ์ พบโพลล์ล่าสุดไปในทิศทางเดียวกัน โดยกลุ่มผู้โหวตมีความชื่นชอบนายไบเดนมากถึง 49% ทิ้งห่างนายทรัมป์เพียง 3 คะแนนเท่านั้น โดยนายทรัมป์ได้รับความนิยมที่ 46%

อย่างไรก็ดี ภาพรวมจากการทำผลสำรวจก็สะท้อนว่ามีโอกาสที่จะเห็นนายไบเดนได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯครั้งนี้มากถึง 50% ขณะที่นายทรัมป์มีโอกาสชนะ 45%


· ทรัมป์ เผย บริษัท Oracle ใกล้บรรลุข้อตกลงกับ ByteDance ในการซื้อ TikTok เพื่อเป็นเจ้าของรายใหญ่

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า บริษัท Oracle Corp ใกล้บรรลุข้อตกลงกับบริษัท ByteDance ในการเข้าซื้อ TikTok เพื่อเป็นเจ้าของรายใหญ่ และดูเหมือนว่าข้อเสนอของ Oracle จะลงตัวทั้งกับนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ และลงตัวกับบริษัท TikTok ในจีน โดยยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดข้อเสนอของ Oracle ทั้งนี้การเข้ามาดำเนินการของ Oracle จะทำให้โครงสร้างบริษัทของ TikTok ในสหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลง

โดย Microsoft เสนอตัวในการเข้ามาซื้อกิจการของ TikTok ในสหรัฐฯ ซึ่งในระยะเวลาต่อมา Walmart ยักษ์ใหญ่ธุรกิจค้าปลีกของสหรัฐฯก็เข้าร่วมกับ Microsoft ด้วยเช่นกัน ขณะที่ Oracle บริษัทด้านเทคโนโลยีเน็ตเวิร์ครายใหญ่ของสหรัฐฯ ก็เข้าร่วมแข่งขันเข้าซื้อกิจการของ TikTok ด้วย และดูเหมือนจะเป็นการแข่งขันเพื่อเข้าซื้อกิจการของ TikTok


· ส่งออกของญี่ปุ่นขยายตัวลดลง จากไวรัสโคโรนาที่กดดันอุปสงค์

การส่งออกของญี่ปุ่นประจำเดือนส.ค.ตกต่ำลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 เนื่องจากการส่งออกไปยังสหรัฐฯลดลงจากอุปสงค์ทั่วโลกที่ชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย

โดยส่งออกเดือนส.ค.ลดลง 14.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี แต่ลดลงน้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ 16.1%

ซึ่งการลดลงของการส่งออกแสดงให้เห็นถึงภารกิจอันยิ่งใหญ่ของนายซูงะ โยชิฮิเดะ ผู้นำคนใหม่ของพรรคเสรีประชาธิปไตย ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีที่ต้องเผชิญกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

· กองทัพของอินเดียได้เปิดใช้งานเครือข่ายโลจิสติกส์ทั้งหมดเพื่อขนส่งเสบียงไปยังกองกำลังหลายพันคนในช่วงฤดูหนาวตามแนวชายแดนเทือกเขาหิมาลัย ท่ามกลางข้อขัดแย้งกับจีน

โดยทางการระบุว่า ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาการฝึกกำลังทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของอินเดียในรอบหลายปีได้นำกระสุนอุปกรณ์เชื้อเพลิงเครื่องใช้สำหรับฤดูหนาวและอาหารจำนวนมหาศาลเข้ามาในลาดักห์ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีพรมแดนติดกับทิเบตที่อินเดียปกครองเป็นดินแดนสหภาพ

การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นจากเหตุปะทะกันเรื่องละเมิดดินแดนครั้งล่าสุดเมื่อช่วงเดือน มิ.ย. แม้ทั้งสองฝ่ายไม่มีใช้อาวุธปืนหรือระเบิดห้ำหั่นกันตามข้อตกลง แต่การต่อสู้ด้วย “อาวุธอื่นๆ” อินเดียยอมรับทหารเสียชีวิต 20 นาย ส่วนจีนไม่บอกแจ้งความสูญเสีย

· นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ระหว่าง 31.10-31.30 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 31.19-31.30 บาท/ดอลลาร์ หลังดอลลาร์ อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าที่ประชุมเฟดจะส่งสัญญาณตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำออกไปนานกว่าปกติ


· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- ครม.อนุมัติหลักการแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa) หรือ STV ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดยจะเปิดให้เข้าประเทศได้ตั้งแต่เดือนต.ค.63 ตั้งเป้าหมายเปิดให้นักท่องเที่ยวประเภทพิเศษเดินทางเข้ามาประเทศไทยได้สัปดาห์ละ 100-300 คน หรือไม่เกินเดือนละ 1,200 คน ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้ประเทศไทยประมาณ 1,200 ล้านบาท/เดือน

- ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข การใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 63 ไปพลางก่อน ซึ่งรัฐบาลได้มีการปรับปรุงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 64 เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ที่ได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ จึงทำให้มีการจัดทำงบประมาณล่าช้าไป 1-2 สัปดาห์

- ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ระบุว่า โดยปกติแล้วงบประมาณรายจ่ายประจำปี จะออกมาในช่วงสิ้นเดือนก.ย.ของทุกปีแต่เนื่องจากในปี 63 ซึ่งเป็นช่วงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายของปี 64 ได้เกิดมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขึ้น ทำให้ต้องมีการปรับงบประมาณเพื่อมารองรับการดำเนินการในส่วนนี้ จึงส่งผลทำให้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 64 อาจจะล่าช้าออกไปราว 3-4 สัปดาห์ แต่จะไม่เกินเดือนต.ค.63

- ปลัดกระทรวงการคลัง ยอมรับว่าการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีนี้จะต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ยังมีการจัดเก็บรายได้ในส่วนอื่น ๆ ที่ทำได้สูงกว่าเป้าหมายเข้ามาชดเชย เช่น รายได้จากรัฐวิสาหกิจ ขณะที่เงินคงคลังมีอยู่ไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท เมื่อรวมแล้วก็เป็นไปตามเป้าหมาย

- รมว.คมนาคม เปิดเผยถึงกรณีงบประมาณรายจ่ายประจำปี 64 มีความล่าช้าว่าไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนในโครงการของกระทรวงคมนาคมแต่อย่างใด

- นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ยืนยันว่า รัฐบาลรวมถึงฝ่ายความมั่นคงพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า รวมถึงการป้องกันมือมือที่ 3 ที่อาจจะเข้ามาสร้างสถานการณ์ในการชุมนุมวันที่ 19-20 ก.ย.นี้


อ่านข่าวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่: www.mtsgold.co.th

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com