ทองคำปรับขึ้นได้ก่อนทราบผลประชุมเฟด
· ราคาทองคำปิดปรับตัวขึ้นก่อนทราบการตัดสินใจของผลประชุมเฟดที่ถูกคาดว่าจะตอกย้ำถึงท่าทีของเฟดที่เป็นไปในเชิงการผ่อนคลายทางการเงินเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจจากวิกฤตไวรัสโคโรนา
· ราคาทองคำปรับตัวขึ้น 0.3% ที่ระดับ 1,960.60 เหรียญ หลังทำสูงสุดตั้งแต่ 2 ก.ย. ที่ 1,973.16 เหรียญ ในส่วนของสัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิด +0.2% ที่ 1,970.50 เหรียญ
· กองทุนทองคำ SPDR ถือครองทองคำเท่าเดิมที่ 1,247.57 ตัน
· กรรมการผู้จัดการจาก High Ridge Futures กล่าวว่า คาดการณ์เกี่ยวกับเฟดในการถอนนโยบายดอกเบี้ยระดับต่ำมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก และคาดเฟดน่าจะขยายเวลาออกไป และหนุนเงินเฟ้อให้สูงกว่าเป้าหมาย 2%
ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อ่อนแอจะเป็นปัจจัยที่หนุนการผ่อนคลายของเฟดต่อ ประกอบกับอาจกดดันให้สภาคองเกรสต้องมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อ ทั้งหมดนี้จึงเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ
· ข้อมูลค่าใช้จ่ายผู้บริโภคสหรัฐฯในเดือนส.ค. ปรับตัวลดลง และยังบ่งชี้ว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังไม่สามารถโตได้เต็มที่เพราะได้รับผลจากไวรัสโคโรนา
· นักวิเคราะห์จาก TD Securities ระบุว่า ตลาดทองคำตอบรับเชิงบวกกับคาดการณ์ที่เฟดน่าจะส่งสัญญาณผ่อนคลายทางการเงิน และ QE ประกอบกับการที่ Dot-Plot ของเฟดน่าจะแสดงให้เห็นถึงการขยายเวลาดำเนิน 2 มาตรการดังกล่าวจนถึงปี 2023
· ราคาซิลเวอร์ปิด -0.2% ที่ 27.19 เหรียญ ขณะที่ราคาแพลทินัมปิด -1.5% ที่ 963.59 เหรียญ และพลาเดียมปิด -1% ที่ 2,385.91 เหรียญ
· สรุปประชุมเฟด 15-16 ก.ย. 63
- เฟดคงดอกเบี้ย 0-0.25% จนกว่าตลาดแรงงานจะฟื้นตัวและเงินเฟ้อปรับขึ้นมาได้ 2% หรือสูงกว่านั้นในบางช่วง
- เฟดไม่คิดว่าจะเห็นเงินเฟ้อแตะเป้าหมาย 2% จนกว่าจะถึงปี 2023 และตั้งใจว่าจะคงดอกเบี้ยหลังจากเงินเฟ้อปรับขึ้นแล้ว
- เฟดปรับคาดการณ์เงินเฟ้อนี้เพิ่มมาที่ 1.2% จากคาดการณ์เดิม 0.8%
- เฟดปรับคาดการณ์จีดีพีปีนี้มาที่ -3.7% ดีขึ้นจากค่ดการณ์เดือนมิ.ย. ที่อยู่ที่ -6.5%
- จีดีพีปี 2021 ปรับลดมาที่ 4% จาก 5%, ปี 2022 ปรับลดมาที่ 3% เดิมที่ 3.5% และปี 2023 คาดจีดีพีจะโตได้ 2.5%
- สหรัฐฯยังมีคนว่างงานกว่า 11.5 ล้านรายตั้งแต่ ก.พ. ดังนั้น ถึงผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานจะลดลงแต่จำนวนก็ยังสูงกว่าช่วงก่อนการระบาด 4 เท่า
- เฟดปรับคาดอัตราว่างงานดีขึ้นมาที่ 7.6% ในปีนี้ จากเดิมคาด 9.3% ขณะที่ระยะยาวคาดจะอยู่ที่ 4% ในปี 2023 เดิมคาด 4.1%
- เฟดมีสัญญาณเล็กน้อยเรื่องการปรับการเข้าซื้อพันธบัตรและตราสารหนี้ MBS แต่ยืนยันจะใช้ QE ต่อเพื่อหนุนสภาพคล่องของตลาด และสินเชื่อภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ
- ประธานเฟดเรียกสัญญาณชี้นำในเรื่องดอกเบี้ยว่ามีประสิทธิภาพ และตลาดต่างๆตีความว่านี่เป็นการ “ผ่อนคลายทางการเงิน”
ตลาดหุ้นตอบรับโดยปรับขึ้นได้ในช่วงต้นตลาดก่อนแถลงการณ์ผลประชุมและการเผยคาดการณ์เศรษฐกิจฉบับล่าสุดที่แสดงให้เห็นถึงเฟดจะคงดอกเบี้ยระดับต่ำใกล้ศูนย์ อย่างน้อยจนถึงปี 2023
แต่แล้วตลาดหุ้นก็ปรับตัวลงมาจากการที่ประธานเฟดส่งสัญญาณถึงการใช้นโยบายที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวขึ้นหลังจากที่โพเวลล์ เผยถึงการที่เฟดตัดสินใจคงการเข้าซื้อ QE เท่าเดิมต่อไปก่อน ผิดจากที่ตลาดบางส่วนคาดถึงเฟดจะมีการเพิ่มการซื้อสินทรัพย์ และประธานเฟดก็ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ จึงทำให้อัตราผลตอบแทนอายุ 10 ปีปรับขึ้นแตะ 0.695%
· สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:
ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกทะลุ 30 ล้านราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสมทั่วโลกรวมที่ 944,680 ราย สำหรับสหรัฐฯยอดติดเชื้อรวมสูงกว่า 6.82 ล้านราย และมียอดเสียชีวิตสะสมทะลุ 201,321 ราย
ด้านอินเดียยอดติดเชื้อพุ่งเป็นอันดับสองที่ 5.11 ล้านราย โดยยังมียอดติดเชื้อรายวันสูงกว่า 97,000 ราย และบราซิลยอดติดเชื้อรวม 4.42 ล้านราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสมยังครองอันดับสองของโลกที่ 134,387 ราย
· ไบเดน ค้านการเร่งวัคซีนไวรัสโคโรนาตามแนวคิดของนายทรัมป์
นายโจ ไบเดน ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯจากพรรคเดโมแครต คัดค้านข้อเสนอของนายทรัมป์ที่ต้องการให้เกิดวัคซีนก่อนการเลือกตั้ง โดยเขาคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยของวัคซีน ดังนั้น เขาหวังว่านักวิทยาศาสตร์ต่างๆ จะไม่ต้องเร่งรีบในการเปิดตัววัคซีนดังกล่าว
· ทรัมป์เรียกร้องรีพับลิกันสนับสนุนมาตรการ Covid-19 เพิ่มเติม
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรียกร้องให้สมาชิกพรรครีพับลิกันเพิ่มวงเงินมาตรการไวรัสโคโรนามากขึ้น ท่ามกลางสภาคองเกรสที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว ท่ามกลางการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ใกล้เข้ามาในวันที่ 3 พ.ย.นี้
ทั้งนี้ สมาชิกวุฒิสภาพรรครีพับลิกัน ล่าสุดได้ทำการเสนอร่าง Covid-19 มูลค่า 3 แสนล้านเหรียญ ขณะที่สมาชิกบางส่วนก็ต้องการให้มีการเพิ่มวงเงินดังกล่าว แต่สถานการณ์อาจต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง หลังล่าสุดนายทรัมป์ ดูจะพึงพอใจให้ร่างดังกล่าวเสนอเพิ่มขึ้นในวงเงิน 1.5 ล้านล้านเหรียญในการเจรจาระหว่างสองพรรค
ขณะที่นางแนนซี เพโลซี โฆษกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และนายชัคส์ ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างมากของวุฒิสภา แสดงความหวังว่าสภาคองเกรสจะสามารถเจรจากันได้และสามารถพบกันได้ครึ่งทาง
· ทรัมป์ เผยเขาจะได้รับรายงานเกี่ยวกับข้อเสนอของ Oracle – TikTok ในวันนี้
· ฝ่ายบริหารทรัมป์ต้องการหนุนงบช่วยเหลือกลุ่มผู้ผลิตและโรงกลั่นน้ำมัน 300 ล้านเหรียญ แต่กฎิเสธการยกเว้นกลุ่มพลังงานชีวภาพ
· ทรัมป์ ชี้ เดโมแครตสร้างภัยคุกคามต่อการเลือกตั้งมากกว่าต่างประเทศ
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังคงค้านการส่งบัตรลงคะแนนผ่านทางไปรษณีย์ และบ่งชี้ว่าผู้ว่าการรัฐที่ดำเนินการอย่างนี้ถือเป็นภัยคุกคามต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันที่ 3 พ.ย.นี้
ทั้งนี้ มีการจัดส่งบัตรลงคะแนนในพื้นที่บางแห่งลดลง 5% - 40% จึงทำให้นายทรัมป์คิดว่าบัตรลงคะแนนอาจถูกขโมย
· ธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) ถูกคาดเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ!
บีโออีถูกคาดว่าจะส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอังกฤษ ท่ามกลางคนว่างงานที่เพิ่มขึ้นและภาวะความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ของกรณี Brexit
ทั้งนี้ บีโออีมีการลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์แล้วที่ 0.1% ประกอบกับมีการเข้าซื้อพันธบัตรมากเกือบ 1 ล้านล้านเหรียญ
· บีโอเจคาดคงดอกเบี้ยและส่งสัญญาณแก้ไขปัญหาในการทำงานร่วมกับผู้นำญี่ปุ่นคนใหม่
บีโอเจถูกคาดว่าจะคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อในการประชุมวันนี้ และน่าจะมีการส่งสัญญาณถึงการหาทางออกของปัญหาร่วมกับรัฐบาลใหม่อย่างใกล้ชิด ที่นำโดยบ นายโยชิฮิเดะ ซูงะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนใหม่ในการใช้เครื่องมือทุกท่างเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตไวรัสโคโรนา
· ส่งออกสิงคโปร์ส.ค. ดีกว่าคาด พุ่งขึ้น 7.7% เมื่อเทียบรายปี
· เศรษฐกิจนิวซีแลนด์ดิ่งเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงลึกในช่วง Q2/2020
เศรษฐกิจนิวซีแลนด์ประสบภาวะถดถอย โดยจีดีพี Q20/2020 ดิ่งหนักถึง -12.2% เมื่อเทียบรายไตรมาส ได้รับผลกระทบจากวิกฤตไวรัสโคโรนา ขณะที่แถลงการณ์ของธนาคารกลางนิวซีแลนด์เมื่อเดือนส.ค. เผยคาดการณ์จีดีพีจะหดตัวลงมากถึง-14% ในปีนี้
· นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.00 - 31.25 บาท/ดอลลาร์
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (ศบศ.) อัดงบ 5.1 หมื่นล้านบาทผ่านมาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศและเพิ่มกำลังซื้อให้แก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย และประชาชนทั่วไป ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง ประกอบด้วย 2 โครงการ คือ
1.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มวงเงินซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภค เป็นเดือนละ 500 บาท ตั้งแต่ต.ค.-ธ.ค.63
2.โครงการคนละครึ่ง ซึ่งจะให้วงเงินแก่ผู้มีสิทธิ 3,000 บาทในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจากร้านค้าทั่วไปไม่เกินวันละ 100 บาท โดยรัฐจะร่วมจ่ายให้ครึ่งหนึ่ง เริ่ม 23 ต.ค.-31 ธ.ค.63
- ที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (ศบศ.)เห็นชอบมาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศและเพิ่มกำลังซื้อให้แก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย และประชาชนทั่วไป ได้แก่ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และ โครงการคนละครึ่ง ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง
- ศบศ. เห็นชอบมาตรการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานระยะเวลา Credit term ในประเทศไทย ตามข้อเสนอของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ที่เป็นผู้จัดส่งสินค้าและวัตถุดิบการผลิต (Supplier) ของธุรกิจขนาดใหญ่
- ศบศ. มีมติเห็นชอบให้คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการบริหารเศรษฐกิจภายใต้ ศบศ.ดำเนินการผลักดันขับเคลื่อนและติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานของโครงการการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพบรรลุเป้าหมายโครงการที่ตั้งไว้อย่างเป็นรูปธรรม
- นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พบปะพูดคุยกับนักเศรษฐศาสตร์ จากองค์กรวิจัยอิสระ มหาวิทยาลัย และสถาบันการเงินที่ได้นำเสนอและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตในช่วงนี้ มีหลายเรื่องที่ได้คุยกัน เช่น นโยบายการเงินการคลัง ระบบภาษี การกระตุ้นการจ้างงาน และการปรับทักษะแรงงาน รวมถึงสถานการณ์และมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลต้องเตรียมการเพื่อรับมือในอนาคต แต่ได้ปฎิเสธที่จะตอบคำถามถึงกระแสข่าวว่าจะมีการทาบทามคนนอกเข้ามารับตำแหน่ง รมว.คลัง