ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สหรัฐฯเริ่มที่จะพุ่งเป้าบริษัทเทคโนโลยีหลักๆของจีนหลายแห่ง อาทิ บริษัท Huawei ที่เป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนยักษ์ใหญ่ รวมทั้งบริษัท ByteDance ที่ผลิตแอพลิเคชันวิดีโอขนาดสั้นยอดนิยมอย่าง TikTok ที่ทำให้ทั้ง 2 แห่งประสบภาวะยากลำบากในการดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ
ขณะที่จีนถูกคาดว่าจะทำการเพิ่มบัญชีดำบริษัทต่างประเทศ หรือ Unreliable Entity List (กลุ่มองค์กรที่ไม่น่าเชื่อถือ)
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวย้ำถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับการแยก 2 ประเทศ
อย่างไรก็ดี ข้อมูลต่างๆแสดงให้เห็นถึงความท้าทายอย่างมากในการดำเนินการเหล่านั้น เนื่องจากทั้งสองประเทศมีการเชื่อมโยงกันมานานนับทศวรรษ
การค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
การค้า คือ ส่วนสำคัญขนาดใหญ่ของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่ต่างฝ่ายต่างเป็นประเทศคู่ค้าหลักกันเป็นเวลาหลายปี
ข้อพิพาทกันในเรื่องภาษีระหว่างสองประเทศเริ่มตั้งแต่ปี 2018 ทั้งเรื่องสินค้าและบริการ โดยสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจ ระบุว่า ส่งผลให้มีมูลค่าโดยรวมสูงกว่า 6.368 แสนล้านเหรียญในปีที่แล้ว
ขณะที่ความสัมพันธ์ทางการค้า สหรัฐฯมีการนำเข้าสินค้าจากจีนมากกว่าส่งออกไปยังเอเชีย แต่กลับกันในด้านบริการ จีนมีการซื้อบริการจากสหรัฐฯมากกว่ายอดขายที่เกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน นายทรัมป์ พยายามจะแยกเศรษฐกิจทั้งสองประเทศออกจากกัน เพื่อผลักดันให้จีนเข้าซื้อสินค้าเกษตรจากหรัฐฯเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ประเทศมีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาทางการค้าที่ไม่สมดุลกัน โดยจีนแสดงความเห็นด้วยที่จะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ภายใต้ข้อตกลง “เฟสแรก” ที่ลงนามร่วมกันเมื่อช่วงต้นปีนี้ (ม.ค.)
ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ปัญหาการค้าระหว่าง 2 ประเทศมีแนวโน้มจะสร้างความเสียหาต่อในปีนี้ ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ คู่กับวิกฤตไวรัสโคโรนาที่กระทบกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจโลก
ภาวะห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวเนื่องกัน
สถาบัน Fitch Ratings ระบุว่า ผลกระทบโดยตรงจากปัญหาทางการค้ากระทบต่อภาวะห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อโยงกันนานนับสิบปีมากขึ้น
เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงภาคบริษัทต่างๆในการดำเนินงานร่วมกันในการจัดเตรียมวัตถุดิบ, ชิ้นส่วน หรือการผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ อันรวมถึงบริการต่างๆให้แก่ประเทศนั้น หรือทั่วโลก
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าผลกระทบแต่ละบริษัทจากภาวะห่วงโซ่อุปทานเป็นเช่นไร
สถาบัน OECD เคยคาดการณ์ในปี 2015 ว่า การนำเข้าของต่างประเทศจะมียอดรวมประมาณ 12.2% หรือคิดเป็น 2.2 ล้านล้านเหรียญ ของจำนวนยอดซื้อสินค้าและบริการทั้งหมดในสหรัฐฯและจีน
กลุ่มผู้ผลิตบางราย ระบุว่า สหรัฐฯค่อนข้างมีการพึ่งพาจีนเป็นพิเศษในการนำเข้าหรือการผลิตสินค้าในขั้นตอนสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผ้า, สินค้าอิเล็กทรอนิกซ์, โลหะและเครื่องจักร เป็นต้น
สำหรับจีนเอง OECD เผยว่า ซัพพลายเออร์จากต่างประเทศมีเพิ่มมากขึ้นประมาณ 14.2% หรือ 1.4 ล้านล้านเหรียญ ของยอดสินค้าและบริการทั้งหมดในปี 2015
ดังนั้น ความขัดแย้งของสองประเทศจะกระทบกับ สหรัฐฯที่มีการพึ่งพาการนำเข้าในกลุ่มการผลิตจากจีน และจีนที่มีการพึ่งพาด้านบริการสหรัฐฯมากกว่า
เม็ดเงินลงทุน
ปัญหาทางด้านการค้าและห่วงโซ่อุปทานอาจส่งผลให้เกิดความยากลำบากเกี่ยวกับเม็ดเงินลงทุนระหว่าง 2 ประเทศให้ปรับตัวลดลงจากความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
ข้อมูลจาก Rhodium Group เผยว่าโดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ถึงมูลค่าการลงทุนโดยตรงของต่างประเทศ และจำนวนเงินร่วมลงทุนข้อตกลงระหว่างสองประเทศนั้นปรับตัวลดลง

นอกจากนี้ ยังพบว่า จีนมีการเข้าซื้อสินทรัพย์ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯลดลง ขณะที่การลงทุนของสหรัฐฯในจีนนั้นก็ดูจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
หลายๆภาคธุรกิจสหรัฐฯมีการดำเนินงานในจีน กล่าวว่า พวกเขายังไม่มีแนวโน้มจะเคลื่อนย้ายออก
ที่มา: CNBC