· หุ้นเอเชียเพิ่มสูงขึ้น ก่อนหน้าการดีเบตประธานาธิบดีสหรัฐฯ
หุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้น ก่อนหน้าการดีเบตประธานาธิบดีสหรัฐฯครั้งแรกในคืนนี้ โดยเหล่านักลงทุนยังคงระมัดระวังการลงทุน ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ที่มียอดผู้เสียชีวิตทะลุกว่า 1 ล้านรายทั่วโลก
โดยตลาดหุ้นเอเชียได้รับแรงหนุนจากสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน แม้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาจะยังคงสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจไปทั่วโลก
อย่างไรก็ดี การซื้อขายในตลาดเอเชียค่อนข้างเบาบางลง ก่อนหน้าวันหยุดยาวในช่วง Golden Week ระหว่างวันที่ 1-8 ต.ค.ที่จะถึงนี้และวันหยุดประจำชาติอื่น ๆ ในภูมิภาค
ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับเพิ่มขึ้น 0.31% ที่ระดับ 554,56 จุด
· หุ้นญี่ปุ่นปิดปรับตัวสูงขึ้น หลังหุ้นสหรัฐฯรีบาวน์ ตลาดจับตาไปยังการดีเบตผู้นำสหรัฐฯ
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดปรับตัวสูงขึ้น ทำระดับสูงสดในรอบ 7 เดือน ตามการเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากที่เหล่านักลงทุนพยายามเข้าซื้อหุ้นที่ลดลงหลังจากที่มีการเทขายอย่างรวดเร็วเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ตลาดให้ความสนใจไปยังการดีเบตของผู้ท้าชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯในคืนนี้
โดยดัชนี Nikkei ปิด -0.12% ที่ระดับ 23,539.10 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสดนับตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา ด้านดัชนี Topix -0.23% ที่ระดับ 1,658.10 จุด
· หุ้นจีนเพิ่มขึ้น จากความหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นจีนปิดปรับตัวสูงข้น นำโดย หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยได้รับแรงหนุนจากความหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ผลสำรวจจากสำนักข่าว Reuters ระบุว่า กิจกรรมภาคการผลิตของจีนประจำเดือนก.ย.มีแนวโน้มที่จะขยายตัวเร็วขึ้นเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่ามีการฟื้นตัวอย่างมั่นคง หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา
โดยดัชนีกลุ่มบลูชิพ CSI300 +0.2% ที่ระดับ 4,591.80 จุด ขณะที่ดัชนี Shanghai Composite +0.21% ที่ระดับ 3,224.36 จุด
· หุ้นยุโรปปรับลดลง ท่ามกลางการเจรจา Brexit และความไม่แน่นอนทางการเมืองสหรัฐฯ
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลง หลังปรับตัวสูงขึ้นได้ในช่วงก่อนหน้านี้ จากการเจรจา Brexit และนโยบายทางการคลังของสหรัฐฯ ท่ามกลางตลาดที่รอคอยการดีเบตของผู้ท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์และนายโจ ไบเดน
ทั้งนี้ ดัชนี Stoxx600 ลดลง 0.5% ด้านหุ้นภาคธนาคารร่วงลง 1.3% ขณะที่ตลาดหุ้นภูมิภาคส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนลบ
อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
· ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 63 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดทำให้หดตัว -8.3% อัตราเงินเฟ้อ -0.9% แต่หากเป็นกรณีที่แย่สุดคาดว่าเศรษฐกิจจะหดตัว -10.4% จากนั้นในปี 64 เศรษฐกิจไทยน่าจะกลับมาขยายตัวได้ถึง 4.9% อัตราเงินเฟ้อ 1% แต่หากเป็นกรณีที่แย่สุดคาดว่าเศรษฐกิจไทยก็จะยังขยายตัวได้ 3.5%
· ธปท.เสนอเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ เป็น "ทางรอด" ของประเทศไทย พร้อมแนะลดมาตรการเหวี่ยงแห่จนเกิดเป็นเบี้ยหัวแตก เน้นช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือที่แท้จริง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด
· ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า สคร.ติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนในปี2563 ของรัฐวิสาหกิจ 44 แห่ง ที่ สคร.กำกับดูแล สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 มีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม 160,498 ล้านบาท หรือคิดเป็น 82% ของแผนการเบิกจ่ายสะสมและในกรณีที่ไม่รวมโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ดำเนินการล่าช้ามาอย่างต่อเนื่องจะทำให้ในภาพรวม รัฐวิสาหกิจมีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมคิดเป็น 95% ของแผนการเบิกจ่ายสะสม อย่างไรก็ตาม สคร.ยังคงติดตามดูแลโครงการลงทุนที่เบิกจ่ายล่าช้าอย่างใกล้ชิด
· รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จะเสนอให้ที่ประชุมครม. เห็นชอบการปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของการถือบัตรไทยแลนด์ อีลิท ของบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ การ์ด โดยเน้นให้ผู้ที่ถือบัตรเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น แทนการดึงเข้ามาเพื่อการท่องเที่ยว ซึ่งการจัดทำเรื่องนี้ ที่ผ่านมาได้รับการเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 (ศบศ.) ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อ้างอิงจากสำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ
· ศูนย์ข้อมูล COVID-19" รายงาน "ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันนี้" ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 14 ราย ยอดผู้ป่วยสะสม 3,559 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิตคงเดิมอยู่ที่ 59 ราย ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 3,370 ราย
เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 63 เพจเฟซบุ๊ก ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน ว่า ประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 14 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,559 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 59 ราย ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 3,370 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 130 ราย ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 14 ราย เป็นคนไทย 11 ราย และสัญชาติอินเดีย 3 ราย ทั้งหมดเดินทางมาจากต่างประเทศ จาก ซูดานใต้ 7 ราย ตุรกี 1 ราย เขตบริหารพิเศษฮ่องกง 3 ราย และ อินเดีย 3 ราย เข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ (State Quarantine , Alternative State Quarantine)