ทองทรงตัวเหนือ 1,900 เหรียญ รับข่าวทรัมป์ติดโควิด, ปิดสัปดาห์ที่ดีที่สุดรอบ 8 สัปดาห์
· ตลาดขานรับข่าว นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ติดเชื้อไวรัสโคโรนา จึงกดดันความเชื่อมั่นในสินทรัพย์เสี่ยง และหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาทรงตัวบริเวณ 1,900 เหรียญได้ตั้งแต่วันศุกร์ แม้ว่าดอลลาร์จะอยู่ในทิศทางที่แข็งค่า แต่สัปดาห์ที่ผ่านมาทองคำก็เรียกได้ว่าปรับขึ้นรายสัปดาห์ได้ดีที่สุดโดยปิด +2.2% นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนส.ค.
· ราคาทองคำตลาดโลกปิดปรับลงเล็กน้อย 0.2% แถว 1,900.4 เหรียญ ขณะที่สัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิด -0.5% ที่ 1,907.6 เหรียญ
· กองทุนทองคำ SPDR ขายทองคำออก 0.59 ตัน ปัจจุบันถือครองทองคำที่ระดับ 1,275.6 ตัน
· นักกลยุทธ์การตลาดอาวุโสจาก RJO Futures มองว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯจะเกิดขึ้นอีกภายใน 33 วันจากนี้ และเราไม่รู้ว่าเหตุการณ์ล่าสุดจะส่งผลอย่างไรต่อไป ดังนั้น นักลงทุนจึงเข้าถือครองทองคำเพิ่มขึ้น และเทรดเดอร์มีท่าทีระมัดระวังมากขึ้น เพราะกังวลว่าจะเห็นแรงเทขายเข้ามาในตลาดหุ้น
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า นักลงทุนมีการเทขายหุ้นเพิ่ม หลังจากที่ทราบข้อมูลจ้างงานของรัฐบาลสหรัฐฯที่ออกมาแย่กว่าที่คาด
· หัวหน้านักวิเคราะห์สินค้าโลหะมีค่าจาก BMO กล่าวว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวในกรอบระยะสั้นๆไปก่อน ท่ามกลางตลาดที่รอคอยข่าวเพิ่มเติม รวมทั้งข่าวข้อตกลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯด้วย แต่การแข็งค่าของดอลลาร์เนื่องในฐานะ Safe-Haven อย่างหนักก็ดูจะเป็นปัจจัยที่กดดันราคาทองคำอยู่ ซึ่งทองคำมีโอกาสกลับขึ้นได้อีกครั้งหากสภาคองเกรสมีการผ่านร่างมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจ
· ราคาซิลเวอร์ ปิด -0.6% ที่ 23.73 เหรียญ ขณะที่แพลทินัมปิด -2% ที่ 878.47 เหรียญ และพลาเดียมปิด -0.1% ที่ 2,313.68 เหรียญ
· จ้างงานรัฐบาลสหรัฐฯแย่กว่าคาด ชี้ตลาดแรงงานสูญเสียแรงฟื้นตัว
ข้อมูลจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯในเดือนก.ย. ออกมาแย่กว่าที่คาดที่ระดับ 661,000 ตำแหน่ง จากระดับ 1.489 ล้านตำแหน่งในเดือนก่อนหน้า ขณะที่อัตราว่างงานออกมาดีขึ้นที่ 7.9% จาก 8.4% ซึ่งภาพรวมข้อมูลดังกล่าวถือเป็นข้อมูลสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันที่ 3 พ.ย.นี้
ภาพรวมตลาดตอบรับกับรายงานดังกล่าวเพียงเล็กน้อย แต่ให้ความสำคัญกับข่าวที่นายทรัมป์และภรรยาติดโควิดมากกว่า และถึงแม้จะมีการจ้างงานที่ลดลง แต่หลายๆฝ่ากย็เชื่อว่าตลาดยังมีสัญญาณการฟื้นตัวได้ดีขึ้นท่ามกลางวิกฤตไวรัสโคโรนา
· “ทรัมป์” ถูกรักษาด้วยสเตียรอยด์ คาดอาจออกรพ.ได้เร็วสุดในวันนี้
ทีมแพทย์เผยช่วงปลายสัปดาห์ “ทรัมป์” มีระดับออกซิเจนลดลง
ขณะที่ล่าสุดวันนี้ นายทรัมป์ได้รับการรักษาด้วยการใช้เสียรอยด์ ซึ่งเป็นการใช้รักษาสำหรับผู้ป่วยหนัก แม้ว่าบรรดาทีมแพทย์จะมีมุมมองบวกต่อการรักษา และคาดว่าเร็วที่สุดเค้าอาจออกจากโรงพยาบาลได้ในวันนี้ ซึ่งจะมีการรักษาตัวต่อที่ทำเนียบขาว
แต่ถึงแม้จะมีการรักษาตัวในโรงพยาบาล นายทรัมป์ก็ยังมีการทวิตเตอร์ข้อความ โดยเรียกร้องให้สภาคองเกรสผ่านร่างมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่
· ภาพรวมตลาดยังคงกังวลเกี่ยวกับนายทรัมป์เป็นอย่างสูง แม้ว่าทีมแพทย์จะมีรายงานถึงความคืบหน้าในการรักษา
· ประเด็นสุขภาพของ “ทรัมป์” และ “การกระตุ้นเศรษฐกิจ” จะเป็นปัจจัยต่อตลาดต่างๆในสัปดาห์นี้
ตลาดต่างๆยังคงมีแรงหนุนจากสัญญาณความเป็นไปได้ที่จะเกิดแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลังจากที่นางแนนซี เพโลซี โฆษกสภาผู้แทนราษฎร เรียกร้องให้กลุ่มสายการบินไม่ทำการปลดคนงาน และเธอให้คำมั่นที่จะหามาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มสายการบิน
หัวหน้านักวิเคราะห์จาก BTIG คาดว่า ตลาดกำลังรอการรายงานความคืบหน้าด้านสุขภาพของนายทรัมป์จากทางทีมแพทย์ประจำทำเนียบขาว และจับตาถึงสิ่งที่นายทรัมป์จะสื่อสารกับประชาชนในสัปดาห์นี้รวมทั้งจำนวนความถี่ในการลงทวิตเตอร์ เนื่องจากตลาดยังกังวลว่าอาการป่วยของนายทรัมป์อาจกระทบต่อการเลือกตั้งได้
· หลัง “ทรัมป์” ป่วย พบ “ไบเดน” มีคะแนนนิยมนำเพิ่ม 14 แต้ม ขณะเดียวกัน ไบเดนเดินหน้ารณรงค์หาเสียงเลือกตั้งด้วยการมุ่งหามาตรการรับมือ Covid-19
ผลสำรวจจาก NBC/WSJ Polls เผยว่า นายไบเดนมีคะแนนนิยมเพิ่มมาที่ 53% เมื่อเทียบกับนายทรัมป์ที่ 39% โดยภาพรวมมีคะแนนนำนายทรัมป์เพิ่มมา 14 แต้ม เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่คิดว่านายไบเดนจะรับมือกับการระบาดของวิกฤตไวรัสโคโรนาได้ดีกว่านายทรัมป์
แต่หากเป็นมุมมองทางเศรษฐกิจ โดยส่วนใหญ่ประชาชนสหรัฐฯยังเชื่อว่านายทรัมป์ ทำได้ดีกว่านายไบเดน
· “เพโลซี” เผยเจรจาข้อตกลงมีความคืบหน้า แม้ว่าการติดโควิดของ “ทรัมป์” อาจส่งผลต่อการเจรจา หรืออาจก่อให้เกิดการเลี่ยงเจรจาข้อตกลงได้
อย่างไรก็ดี สภาพผู้แทนราษฎรยังยืนยันข้อเสนอแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจที่ 2.2 ล้านล้านเหรียญและมีการผ่านร่างเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ขณะที่นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เสนอที่ 1.6 ล้านล้านเหรียญ
· ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาทะลุ 35.38 ล้านรายทั่วโลก ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสมเพิ่มมาที่ 1.04 ล้านราย โดยสหรัฐฯยังมียอดติดเชื้อมากสุดทะลุ 7.6 ล้านราย
· รายงานล่าสุดเผยว่า สภาพอากาศหนาวในสหรัฐฯอาจส่งผลให้ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยจะเห็นได้จากจำนวน 9 รัฐในสหรัฐฯที่มียอดติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 7 วันที่ผ่านมา
· รัสเซียเผยยอดติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นทะลุ 10,000 รายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงกลางเกดือนพ.ค.
· รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขอินเดีย คาดจะได้รับวัคซีนกว่า 500 ล้านโดสในช่วงประมาณเดือนก.ค. ท่ามกลางยอดติดเชื้อภายในประเทศที่ทะลุ 6.62 ล้านราย
· อังกฤษปล่อยมาตรการ Covid เพิ่ม เพื่อช่วยเหลือคนว่างงานให้กลับมามีงานทำ โดยจะมีการหนุนโครงการ JETS ด้วยเม็ดเงินลงทุน 238 ล้านปอนด์ (308 ล้านเหรียญ)
· อียู-อังกฤษ เจรจา Brexit คืบหน้าเพื่อพยายามปิดช่องว่างของข้อตกลงการค้าร่วมกันสำหรับข้อตกลงฉบับใหม่
อย่างไรก็ดี นายกฯอังกฤษ เผยว่า ไม่ต้องการ No-Deal Brexit แต่พร้อมยอมรับได้หากผลออกมาเป็นกรณีดังกล่าว
· นักบริหารการเงิน วิเคราะห์ว่า เงินบาทระหว่างวัน 31.45-31.65 บาท/ดอลลาร์ และกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้ 31.25-31.75 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทในระยะสั้นมีโอกาสแข็งค่าตามสกุลเงินเอเชียมากขึ้น และระหว่างสัปดาห์เชื่อว่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบ และเริ่มเคลื่อนไหวมากขึ้นตั้งแต่การแถลงรายงานการประชุมของเฟดเดือนก.ย. ในวันพุธนี้ เพราะแรงหนุนส่วนใหญ่มาจากผู้ส่งออกและการเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้
อย่างไรก็ดี ในสัปดาห์นี้คาดความผันผวนมีโอกาสลดลง หลังมีข่าวว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯจะสามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ